กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
MACO ตีปีกรับข่าวดีเพียบ เผยอัตราพื้นที่ใช้โฆษณาไตรมาส 2/56 พุ่งพรวดแตะ 74% และกลยุทธ์เน้นรับงาน Made to order ดันกำไรสุทธิไตรมาส 2 โต 33.42% มั่นใจทั้งปีเติบโต 35% ตามเป้าหมาย แย้มเตรียมรุกตลาดโฆษณาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เน้นลูกค้า AEC เผยย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าจดทะเบียนและซื้อขายใน SET เดือนกันยายนนี้ เริงร่าหลัง Forbes จัดขึ้นทำเนียบสุดยอดบริษัทกลางและเล็กในทวีปเอเชียแปซิฟิกต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สะท้อนความแข็งแกร่งด้านธุรกิจและฐานะการเงิน
นายนพดล ตัณศลารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) หรือ MACO ผู้นำในด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยครบวงจรของไทย (The Leader in Creative & Innovative OHM Solutions Provider) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2556 (เมษายน-มิถุนายน) ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 177.22 ล้านบาท ลดลง 6.29 ล้านบาท คิดเป็น 3.43% จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้จากการขายและบริการ 183.52 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 44.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.06 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 33.42% จากช่วงเดียวกันของปี 2555 ซึ่งบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 33.11 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการ 335.68 ล้านบาท ลดลง 32.17 ล้านหรือ 8.75% เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2555 ซึ่งรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 367.86 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 79.76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.33 ล้านบาทหรือ 25.75% จากระยะเดียวกันของปีก่อน
สำหรับปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตนั้น มาจากอัตราการใช้พื้นที่โฆษณา (Occupancy Rate) ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 74% จากไตรมาส 2 ปี 2555 ซึ่งอยู่ที่ 58% ทั้งนี้ เมื่อแบ่งเป็นอัตราการใช้พื้นที่โฆษณาในช่วงไตรมาส 2/2556 พบว่า ป้ายโฆษณากลางแจ้ง (Billboard) อยู่ที่ 73% สื่อบริเวณถนน (Street Furniture) อยู่ที่ 83% และสื่อบริเวณสถานีขนส่งและยานพาหนะ (Transit) อยู่ที่ 87%
“อัตราการใช้พื้นที่โฆษณาในไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งอยู่ที่ 74% นับว่า เติบโตอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ป้ายโฆษณากลางแจ้ง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาร์จินให้ กับบริษัทฯ ในระดับที่สูง ก็มีการเติบโตอย่างโดดเด่น รวมถึงการรับงานในลักษณะ Made to Order ซึ่งสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ เป็นอย่างดี โดยทั้งหมดนั้นเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 เติบโตได้อย่างน่าพอใจ ถึงแม้ครึ่งปีแรกรายได้เราจะลดลงเล็กน้อย แต่ไม่ได้กระทบจากสื่อของ MACO เอง เป็นการลดลงจากรายได้การร่วมทุนกิจการร่วมค้า Index maco D103 ที่โครงการงาน Expo เกาหลี ได้มีการจบโครงการไปแล้ว” นายนพดลกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นสำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2556 ในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 28 สิงหาคม 2556 และปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อในวันที่ 29 สิงหาคม 2556
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MACO กล่าวด้วยว่า ในปีนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นเรื่องการรักษาอัตรากำไรสุทธิให้ได้ในระดับ 20% และตั้งเป้ารายได้เติบโต 35% โดยในขณะนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการติดตั้งสื่อบริเวณตอม่อใต้สะพานข้ามแยก จำนวน 249 ป้ายทั่วกรุงเทพฯ นอกจากนี้ ยังเดินหน้าที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสื่อเดิม โดยการเปลี่ยนป้าย Billboard เป็น LED และการเปลี่ยนป้าย BTS บางส่วนเป็น LED รวมถึงการขยายจุดพื้นที่โฆษณาทั้งในและต่างประเทศ และการรุกทำตลาดสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัยในประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้วย
ล่าสุดหุ้น MACO กำลังจะย้ายการจดทะเบียนจากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ไปสู่การจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ ภายในเดือนกันยายนนี้ หลังจากที่ทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 174,999,563 บาท เป็น 300,896,950 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การย้ายเข้าจดทะเบียนและซื้อขายใน SET จะส่งผลดีต่อหุ้นของบริษัทฯ ทั้งในแง่ความสนใจของผู้ลงทุน และสภาพคล่องในการซื้อขายที่จะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ MACO ยังเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่ติดอันดับสุดยอด 200 บริษัทขนาดกลางและเล็กในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ Asia's 200 Best Under a Billion ประจำปี 2556 จัดโดยนิตยสาร Forbes Asia ซึ่งสะท้อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี
“นับเป็นความภาคภูมิใจของเราอย่างมาก และต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีที่ดีของ MACO ไม่ว่าจะเป็นการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงการติดอันดับสุดยอดบริษัทขนาดกลางและเล็กของ Forbes Asia ซึ่งเราติดอันดับเป็นปีที่ 2 ต่อเนื่องแล้ว โดยการจัดอันดับของ Forbes จะพิจารณาจากบริษัทที่มียอดขายเติบโตแข็งแกร่ง การจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่นและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างน่าพอใจ” นายนพดลกล่าว