บทความพิเศษ AEC ในทัศนะ ดร.วิโรจน์ ( วิลเลี่ยม วู ) เรื่อง: ระบบการค้าแบบ Dual Track

ข่าวทั่วไป Wednesday August 14, 2013 15:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--ซูม พีอาร์ ฉบับที่แล้วผมได้พูดถึงการรู้จักแนวคิดกลยุทธ์ของคู่แข่งขันในซีกโลกตะวันตก และซีกโลกตะวันออกไปแล้วที่ผมพูดว่าคนไทยเป็นคนเก่ง สมองไวนั้น หมายถึงอดีตนายกฯ ทักษิณ และ นายกฯ อภิสิทธิ์ เพียงแต่ ท่านขาดความจริงใจในการช่วยชาติ ยกตัวอย่าง อดีตนายกฯ ทักษิณ ผมยอมรับในตัวท่าน ที่มีแนวคิด การทำประเทศไทย ให้ใช้ระบบการค้าแบบ Dual Track คือ เน้นทั้งการส่งออก และการค้าภายในประเทศ นั่นเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศจีน คือ ตอนเปิดประเทศใหม่ๆ จะเน้นการผลิตเพื่อการส่งออก เกือบ 100% เพื่อสร้างงาน และนำเงินตราเข้าประเทศ เมื่อประชาชนมีงานทำเกือบทุกคน ก็มีเงินจับจ่ายซื้อของ นอกจากทำร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้าแล้ว ยังไม่พอ เพราะประเทศจีนกว้างขวาง การกระจายสินค้า ทำได้ยากลำบากมาก จึงต้องอาศัยกลไกของการสร้าง ตลาดค้าส่ง สำหรับสินค้าเฉพาะอย่างขึ้นมา เรียกว่า Specific Wholesale Market เพื่อให้พ่อค้าจากต่าง เมืองทั่วประเทศจีน สามารถเข้ามาซื้อสินค้าแล้วนำไปขายในเมืองของตนได้ กลไกตัวนี้เป็นตัวแปร หรือตัวกลางสำคัญที่ทำให้ Dual Track เกิดขึ้นได้โดยเร็ว ซึ่งไม่มีใครเคยพูดถึง หรือมองเห็น Dual Track ที่ดี และปลอดภัยที่สุดสำหรับประเทศ คือ ส่งออก 20% ของ GDP และค้าขายในประเทศเอง 80% ซึ่งปัจจุบันจีนสามารถทำได้แล้ว คือ ส่งออก 50% และค้าขายในประเทศ 50% อนาคต อีกไม่เกิน 10 ปี จีนทำได้แน่นอน ซึ่งจะทำ ให้ไม่ต้องพึ่งพาการส่งออก หรือเศรษฐกิจโลก ยกตัวอย่าง ในช่วง Hamburger World Crisis ที่ผ่านมา เศรษฐกิจฟองสบู่ของอเมริกาล่ม เพราะอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้เศรษฐกิจในอเมริกาตกต่ำ ยอดสั่งซื้อตกฮวบ ทำให้การส่งออกย่ำแย่ ประเทศจีนมองเห็นปัญหา จึงรีบแก้ไขกลัวว่า โรงงานต้องปิด และคนตกงานออกมาสไตรก์ จึงออกนโยบายสนับสนุนคืนภาษีให้กับโรงงานที่ขายสินค้าอุปโภค เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และรถยนต์ให้กับชาวนา และชาวชนบทต่างเมือง ประมาณ 20-30% ของราคาสินค้า และทำให้โรงงานมียอดขายในประเทศมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ แต่ทุกนโยบาย ต้องมีกำหนดระยะเวลา ซึ่งในตอนนี้เศรษฐกิจดีขึ้นก็เลิกสนับสนุนแล้ว พูดถึงประเทศไทย ขณะนี้ยังทำไม่สำเร็จ คือ ยอดส่งออก-นำเข้ายังมีประมาณ 80% ของ GDP ซึ่งกลับตาลปัตรกับประเทศจีน จึงทำให้ไทยยังต้องพึ่งพาการส่งออกอย่างมาก พอเศรษฐกิจโลกตกเราก็มีผลกระทบทันที (หมายเหตุ ตัวเลข GDP จากยอดส่งออก นำเข้า และเงินลงทุนต่างๆ นั้น ยังเชื่อถือไม่ได้ เนื่องจากยอดส่งออกคิดจาก FOB ยอดนำเข้าคิดจาก CIF ซึ่งฐานต่างกัน และเงินลงทุนก็ไม่ใช่เงินลงทุนใน Real Sector จริงๆทั้งหมด ) จึงไม่สามารถระบุตัวเลขได้ เพียงคิดคร่าวๆ เป็นเปอร์เซ็นต์ให้มองภาพออก ฉะนั้น ประเทศไทยจะทำ Dual Tack ให้สำเร็จ และมั่นคง สิ่งแรกที่ควรทำคือ ตั้งศูนย์ค้าส่งสินค้าเฉพาะ อย่าง คล้ายๆ กับตลาดไท (สำหรับผัก ผลไม้) ขึ้นมา แต่ควรเพิ่มอาหารอื่นๆ ด้วย เช่น อาหารกระป๋อง อาหารทะเล เป็นต้น และทำให้ใหญ่กว่านี้ เป็นที่ซื้อ-ขายของคนทั้งประเทศ ไม่จำเป็นต้องอยู่กรุงเทพฯ อยู่เมืองไหนก็ได้ ที่มีเศรษฐกิจไม่ดี และไม่ควรเป็นเมืองท่องเที่ยวด้วย เพราะมีเศรษฐกิจดีแล้วเป็นทุนอยู่ แล้วก็ทำ Cluster สัก 2-3 จังหวัด ให้เป็นกลุ่ม Trading Cluster หรือ Specific Wholesale Market Cluster พอทำแล้วเศรษฐกิจในจังหวัดนั้นก็จะดีไปด้วย เช่น ทำแบบศูนย์ค้าส่งให้ใหญ่กว่ามาบุญครอง 10 เท่า เป็นต้น ซึ่งมองเห็นว่ากลไกตัวนี้มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ อย่างมหาศาล ทั้งปัจจุบัน และอนาคต ไม่ต้องไปเปิด บ่อนกาสิโน เมื่อมีตลาดค้าส่งแล้วก็จะเป็นเมืองใหม่ มีโรงแรม ร้านอาหาร และแหล่งบันเทิงตามมา แต่ต้องมีสาธารณูปโภครองรับ ซึ่งรัฐบาลต้องเป็นเจ้ามือ ต้องมีการเดินทางที่สะดวก อย่างรถไฟฟ้าความเร็วสูง รองรับ ไม่ใช่มีแต่รถไฟสวนสนุก ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง!! ประเทศจีนทำไม่กี่ปี รถไฟความเร็วสูง 250 กม./ชม. มาจ่อที่ลาว และทางเหนือแล้ว ของเรายังไม่ขยับทำอะไรเลย มีเครื่องบินก็ราคาแพง และเสียเวลา หรือรถทัวร์มรณะที่เสี่ยงต่อชีวิต ภาคของการขนส่ง สามารถใช้รถไฟ เรือ หรือรถบรรทุกได้จะดีที่สุดเป็นต้น เจ้าของกิจการท่านใดสนใจต้องการปรึกษาธุรกิจสามารถติดต่อ ดร.วิโรจน์ กุศลมโนมัยได้ โดยตรงที่ โทร.085-48885-427 E-mail: info@kusamai.com http://www.kusamai.com สอบถามข้อมูลข่าวประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท ซูม พีอาร์ จำกัด โทรศัพท์ 02-989-7844 , 092 408 9260

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ