กรุงเทพฯ--14 ส.ค.--สหวิริยาสตีลอินดัสตรี
- รายได้ขายและบริการกลุ่มรวม 12,542 ล้านบาท ปริมาณขายเหล็กรวม 576 พันตัน
- ไตรมาส 2 ขาดทุนสุทธิ (งบเดี่ยว) 473 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ (งบรวม) 465 ล้านบาท
- งวด 6 เดือน กำไรสุทธิ (งบเดี่ยว) 395 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ (งบรวม) 1,243 ล้านบาท
- ผลกระทบวันหยุดเทศกาล-ตลาดเหล็กชะลอตัวในไตรมาส 2
- ยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ ร้อยละ 38
- ผลประกอบการของธุรกิจโรงถลุงเหล็กปรับตัวดีขึ้น ผลผลิตเพิ่มร้อยละ14 ขายเหล็กแท่งแบนนอกกลุ่ม 169 พันตัน
- เริ่มใช้งาน PCI ที่โรงถลุงเหล็ก ต้นทุนพลังงานลด-ผลผลิตสูงขึ้น
- ตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้น-ราคาเหล็กเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีในครึ่งปีหลัง
บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอสไอ รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2/2556 และผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ปี 2556 ดังนี้
ไตรมาส 2/2556
งบการเงินเฉพาะบริษัท - บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 8,705 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 44 จากงวดก่อนหน้า และร้อยละ 12 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีปริมาณขาย 407 พันตัน ลดลงร้อยละ 42 จากไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 4 จากงวดเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 197 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 473 ล้านบาท
งบการเงินรวม - บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 12,542 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 37 จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากขายเหล็กรวม 576 พันตัน ประกอบด้วย 1) เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 407 พันตัน และ 2) เหล็กแท่งแบนที่ขายลูกค้าภายนอก 169 พันตัน โดยมีต้นทุนขายและให้บริการรวม 13,468 ล้านบาท จากต้นทุนผลิตของธุรกิจโรงถลุงเหล็กที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ ส่งผลให้บริษัทฯ และบริษัทย่อย มี EBITDA ติดลบ 887 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 465 ล้านบาท
งวด 6 เดือน ปี 2556
งบการเงินเฉพาะบริษัท - บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 24,331 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขาย 1,114 พันตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากงวดเดียวกันของปีก่อน มี EBITDA 1,789 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 314 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 395 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากผลขาดทุนสุทธิ 726 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2555
งบการเงินรวม - บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 32,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากขายเหล็กรวม 1,520 พันตัน ประกอบด้วย 1) เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน 1,114 พันตัน และ 2) เหล็กแท่งแบนที่ขายลูกค้าภายนอก 406 พันตัน มี EBITDA ติดลบ 87 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิ 1,243 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จะพบว่าผลประกอบการของบริษัทได้รับผลกระทบจากปริมาณขายเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนและ HRC Rolling Margin ที่ปรับตัวลดลงเป็นหลัก แต่หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าขาดทุนลดลงมาก จากผลประกอบการของธุรกิจโรงถลุงเหล็กที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังขาดทุนอยู่เนื่องจากการผลิตที่ยังต่ำกว่าจุดคุ้มทุน
- ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อน มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 8,705 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 44 จากไตรมาส 1/2556 และร้อยละ 12 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มพิเศษ (Premium Value Products) ร้อยละ 38 ของยอดขายรวม มีผลขาดทุนสุทธิ 473 ล้านบาท
- ธุรกิจโรงถลุงเหล็ก มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 11,822 ล้านบาท จากการขายเหล็กแท่งแบนรวมจำนวน 696 พันตัน โดยจำนวน 169 พันตัน หรือร้อยละ 24 เป็นการขายให้แก่ลูกค้าภายนอก มีผลกำไรสุทธิ 63 ล้านบาท
- ธุรกิจท่าเรือน้ำลึก มีรายได้จากการให้บริการรวม 102 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยตามปริมาณสินค้าผ่านท่าที่ลดลง มีกำไรสุทธิ 41 ล้านบาท
- ธุรกิจวิศวกรรมและซ่อมบำรุง มีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 239 ล้านบาท จากการได้รับงานและส่งมอบงานเพิ่มเติม มีกำไรสุทธิ 12 ล้านบาท
- ธุรกิจเหล็กแผ่นรีดเย็น มีรายได้จากการขายรวม 2,861 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 53 ล้านบาท
นายวิน วิริยประไพกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสเอสไอกล่าวว่า "ในไตรมาส 2/2556 เราประสบกับความผันผวนระดับมหภาคตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส ทั้งจากการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) การเติบโตของจีนชะลอตัว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และค่าเงินบาทที่ถดถอย ทั้งนี้ในช่วงราคาเหล็กขาลง ตลาดก็เข้าสู่ช่วงระบายสินค้าคงเหลือในระบบ (destocking phase) ประกอบกับผลกระทบจากวันหยุดยาวช่วงเทศกาลเดือนเมษายน ทำให้ปริมาณขายของธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนลดลงร้อยละ 42 นอกจากนั้นบริษัทได้ตั้งสำรองค่าเผื่อการลดมูลค่าของสินค้าคงเหลือเพื่อรองรับการขาดทุนจากสินค้าคงเหลือดังกล่าวแล้ว ในขณะเดียวกันธุรกิจโรงถลุงเหล็กที่ประเทศอังกฤษประสบความสำเร็จผลิตได้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 14 และมีความพร้อมที่จะไปสู่ผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นกว่านี้ในช่วงครึ่งปีหลัง”
“สำหรับภาวะอุตสาหกรรมเหล็กไตรมาส 2/2556 ที่ผ่านมานั้นนับเป็นจุดต่ำสุดของปี ปัจจุบันเรามองเห็นเศรษฐกิจโลกระดับมหภาคมีเสถียรภาพมากขึ้นและราคาเหล็กมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีซึ่งจะทำให้เห็นปริมาณการขายกลับไปสู่ระดับปกติ นอกจากนี้การเริ่มใช้งานเทคโนโลยี PCI เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 จะทำให้ธุรกิจโรงถลุงเหล็กจะมีผลผลิตที่สูงขึ้น ต้นทุนลดลงจากอัตราการใช้ถ่านหิน PCI ที่จะสูงขึ้นเป็นลำดับในหลายเดือนข้างหน้า ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นในผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง โดยที่เรายังเดินหน้าดำเนินกลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งจากการเชื่อมโยงธุรกิจแบบครบวงจร และ สร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เหล็กที่มีมูลค่าเพิ่มกับลูกค้าต่อไป"
สามารถสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ssi-steel.com/en/investor-relations/ir-home.php