กรุงเทพฯ--19 ส.ค.--พลัส พร็อพเพอร์ตี้
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลการวิจัยล่าสุด “คอนโดแนว BTS/MRT โต ดันตลาดเช่าญี่ปุ่นครองแชมป์ตลาดเช่าไทย” ระบุ คอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้ารัศมีประมาณ 500 เมตรจากสถานีเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว หรือคิดเป็น 16,674 ยูนิต ณ สิ้นปี 2555 จาก 34,871 ยูนิตในปี 2550 หรือเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 92% ส่งผลตลาดเช่าแนวรถไฟฟ้ายังคงเป็นทำเลทอง โดยเฉพาะสุขุมวิทตอนต้นไปจนถึงทองหล่อ เผยพบกลุ่มผู้เช่ายังคงเป็นชาวญี่ปุ่นที่ครองแชมป์สูงสุดหลักโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับ พรีเมี่ยมของแสนสิริ
นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (Mr. Anukul Ratpitaksanti, Deputy Managing Director, Plus Property Company Limited) ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากข้อมูลของฝ่ายวิจัยและพัฒนา ของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้เปิดเผยถึง ผลการวิจัยล่าสุดของคอนโดแนว BTS และMRT โต ซึ่งดันตลาดเช่าญี่ปุ่นครองแชมป์ตลาดเช่าไทย โดยกระแสความร้อนแรงของตลาดคอนโดมิเนียมยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้จากการที่ระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน (เอ็มอาร์ที) ที่มีสถานีรวมกันกว่า 50 สถานี และคาดว่าจะมีสถานีที่เปิดให้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 100 สถานีในอีก 3 ปีข้างหน้า จะทำให้โครงการคอนโดมิเนียมต่างๆ มุ่งเป้าการพัฒนาโครงการใหม่ไปที่บริเวณแนวรถไฟฟ้า โดยปัจจุบันพบว่า ในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน) 2556 มีจำนวนคอนโดมิเนียมในตลาดรวมทั้งสิ้น 75,161 ยูนิต โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ จำนวน 40,082 ยูนิต และคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างรอการขาย 35,079 ยูนิต ทั้งนี้ หากแยกพิจารณาเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ติดแนวรถไฟฟ้าเส้นสุขุมวิท (นานา-เอกมัย) รัศมีประมาณ 500 เมตรจากสถานีนั้น ล่าสุด ณ เดือนมิถุนายน 2556 มีปริมาณอยู่ที่ 3,111 ยูนิต โดยมียอดขายไปแล้วกว่า 1,523 ยูนิต หรือคิดเป็นประมาณ 49% โดยในปัจจุบันทำเลที่ตั้งของโครงการคอนโดมิเนียมที่ติดแนวรถไฟฟ้า นับเป็นปัจจัยที่สำคัญในอันดับต้นๆที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญรวมถึงการลงทุนเพื่อปล่อยเช่าก็นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจในการซื้อคอนโดมิเนียมเช่นเดียวกัน
“หากพิจารณาถึงกลุ่มผู้เช่าหลักโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยม พบว่าผู้เช่าชาวญี่ปุ่นยังครองแชมป์สูงสุด โดยโซนรถไฟฟ้าหรือกลุ่มพื้นที่หลักที่ชาวญี่ปุ่น สนใจเช่าห้องชุดคือ บริเวณสุขุมวิทตอนต้น หรือสถานีรถไฟฟ้าสุขุมวิทเรื่อยไปจนถึงสถานีพระโขนง ซึ่งในอนาคตพื้นที่เหล่านี้จะยังคงได้รับความนิยมเช่นเดิม เนื่องจากผู้เช่าชาวญี่ปุ่นมักอาศัยอยู่รวมกันแบบชุมชนเพราะรู้สึกอุ่นใจเรื่องความปลอดภัย นอกจากนี้ในย่านดังกล่าวยังตอบโจทย์กลุ่มแม่บ้านชาวญี่ปุ่นด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร โรงพยาบาล และการคมนาคมที่สะดวกสบาย ซึ่งคาดว่าจะยังคงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงแหล่งที่พักอาศัยได้โดยง่าย ทั้งนี้พฤติกรรมของกลุ่มผู้เช่าชาวญี่ปุ่นยังไม่นิยมห้องที่มีขนาดใหญ่มากในกรณีที่อาศัยเพียงคนเดียว ห้องพักพื้นที่ 40-50 ตารางเมตรก็เพียงพอกับความต้องการ แต่ในกรณีที่พักอาศัยเป็นครอบครัวหรือกลุ่มที่มีงบประมาณในการเช่าสูง มักจะเลือกเช่าห้องชุดขนาด 2 ห้องนอนเป็นหลัก อย่างไรก็ตามในปัจจุบันอาจพบชาวญี่ปุ่นที่เช่าห้องชุดในพื้นที่ สาทร พหลโยธิน รัชดาภิเษก และพระราม 3 อยู่บ้าง แต่ยังไม่สูงเท่าในสุขุมวิท” นายอนุกูล กล่าว
อนึ่ง จากการสำรวจอัตราห้องชุดปล่อยเช่าในตลาดในพื้นที่กรุงเทพฯ ณ เดือนมิถุนายน 2556 นี้ พบว่ามีจำนวนห้องชุดให้เช่ามากกว่า 6,100 ยูนิต (ในจำนวนนี้เป็นห้องชุดของแสนสิริและบริษัทในเครือประมาณ 1,200 ยูนิต) อัตราห้องชุดปล่อยเช่าโดยรวมเติบโตสูงขึ้นจากปี 2555 ถึง 12% และเมื่อพิจารณาเฉพาะโครงการของแสนสิริ และบริษัทในเครือ พบว่ามีอัตราห้องชุดปล่อยเช่าเติบโตสูงถึง 34% ซึ่งแสดงว่าคอนโดมิเนียมปล่อยเช่ายังคงมีความต้องการจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้เช่าอีกด้วย
“อย่างไรก็ดี ด้วยความหลากหลายของโครงการ และบริษัทตัวแทนเช่า (Broker) ทำให้ผู้เช่ามีโอกาสเพิ่มทางเลือกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ศักยภาพความพร้อมและความน่าเชื่อถือ Broker ที่เป็นตัวแทนเช่าและบริษัทการบริหารจัดการโครงการ ยังคงนับเป็นหัวใจสำคัญที่ผู้เช่าทุกชาติให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้เช่าจะต้องเลือกบริษัทที่สามารถสื่อสารได้สะดวกและสามารถวางใจได้ในฐานะที่ปรึกษา รวมถึงคุณภาพของการบริหารโครงการที่ดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสะดวกสบายในการพักอาศัยรวมถึงมูลค่าของโครงการนั้นๆ เพราะหากจะลงทุนในเรื่องปล่อยเช่าห้องชุดในระยะยาวแล้ว ผู้ลงทุนไม่ควรมองข้ามปัจจัยดังกล่าว” นายอนุกูลกล่าว