กรุงเทพฯ--6 ก.ย.--IR network
“ธานินทร์ ตันประวัติ” มองเทรนด์ธุรกิจ บมจ.แอร์โรว์ ซินดิเคท หรือ ARROW ต่อจากนี้ยังแข็งแกร่ง ผลประกอบการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่มีทิศทางสดใส จากการลงทุนในระบบโครงการรถไฟสายสีน้ำเงินและสีแดง รวมถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ที่จะเกิดตามแนวรถไฟฟ้าอีกเป็นจำนวนมาก มั่นใจปีนี้ทำผลงานโตตามเป้า 30% พร้อมตอกย้ำยังมุ่งหน้าเจาะตลาดใหม่ๆ เพิ่ม เพื่อกระจายรายได้ทั้งในและต่างประเทศ
นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW เปิดเผยถึง แนวโน้มอุตสาหกรรมการก่อสร้างในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่า ยังมีทิศทางที่สดใส เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการลงทุนในระบบโครงการสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการรถไฟสายสีน้ำเงิน, สีแดง รวมถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ๆ ที่จะเกิดตามแนวรถไฟฟ้าอีกเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ เกิดความต้องการใช้ท่อร้อยสายไฟและระบบปรับอากาศดีขึ้นตามไปด้วย
ประกอบกับในปัจจุบัน ARROW มีใบสั่งซื้อสินค้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการผลิตคิดเป็นจำนวนมากกว่า 150 ล้านบาท และบริษัทยังอยู่ระหว่างการขยายโรงงานเพิ่มเติม บนพื้นที่ขนาด 2,700 ตารางเมตร เพื่อรองรับดีมานด์ท่อร้อยสายไฟและท่อระบบปรับอากาศที่ขยายตัว โดยเบื้องต้นวางงบลงทุนไว้ราว 30 ล้านบาท และน่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ไม่เกินธันวาคมนี้ ซึ่งหากดำเนินการได้ตามที่ตั้งเป้าไว้คาดว่าจะช่วยเสริมกำลังการผลิตได้อีกประมาณ 30% ดังนั้นจึงทำให้เชื่อมั่นว่า ผลการดำเนินในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ประมาณการณ์ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ้ ขณะเดียวกันยังเชื่อว่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิให้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-12% ได้
“ธุรกิจที่ ARROW ดำเนินการอยู่ถือว่ายังเติบโตและขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตามคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ จากความต้องการในการใช้วัสดุสำหรับงานระบบต่างๆในอาคารที่เติบโตอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงทำให้เชื่อว่าในไตรมาสที่เหลือของปีนี้ผลการดำเนินงานของบริษัทยังจะสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ได้” กรรมการผู้จัดการกล่าวในที่สุด
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ของบริษัทแบ่งเป็น งานจากโครงการที่ดำเนินการภายในประเทศ 93% และอีก 7% มาจากการส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยตลาดส่งออกหลักของบริษัทยังมุ่งเน้นประเทศใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นเมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ขณะเดียวกันยังเดินหน้ารับงานใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นทั้งจากภาครัฐและเอกช โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการเติบโตให้กลุ่มบริษัทอย่างมีศักยภาพ