กรุงเทพฯ--10 ก.ย.--โตโยต้า มอเตอร์
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของ โตโยต้า โคโรลล่า ด้วยยอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกกว่า 40 ล้านคัน (ข้อมูล ณ เดือน กรกฎาคม 2556)
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2509 โตโยต้าประกาศเปิดโรงงานแห่งใหม่ ที่เมืองทาคาโอกะ จังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อประกอบรถโคโรลล่าโดยเฉพาะ สองปีต่อมา ได้เปิดโรงงานประกอบรถโคโรลล่าในประเทศออสเตรเลียและมาเลเซียเพื่อให้สอดคล้องกับการให้ความสำคัญด้านการพัฒนารถยนต์ให้มีความเหมาะสมกับแต่ละภูมิภาค และหากนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2508 ถึง พ.ศ.2511 โตโยต้ามีกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 480,000 คัน เป็น 1,100,000 คัน แสดงให้เห็นว่าโคโรลล่าเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญต่อการเติบโตของบริษัท
ปัจจุบัน โตโยต้ามีสายการผลิตรถโคโรลล่าในโรงงานซึ่งตั้งอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 15 แห่ง โดยยอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกของรถรุ่นนี้ สูงติดอันดับ 1 ใน 5 ของรุ่นรถทั้งหมดที่จำหน่ายในประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 76 ปี ของโตโยต้า ประเทศญี่ปุ่น
การส่งออกรถโคโรลล่าไปยังทวีปอเมริกาเหนือเริ่มต้นในพ.ศ. 2511 และจากความสำเร็จอย่างงดงามของยอดจำหน่ายในทวีปดังกล่าวส่งผลให้ยอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกครบ 1 ล้านคัน ภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 รถโคโรลล่ากลายเป็นรถที่มียอดจำหน่ายรวมสูงสุดของโลกด้วยยอดจำหน่ายรวมมากกว่า 22,650,000 คัน และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา โคโรลล่ามียอดขายมากกว่า 1 ล้านคันในทุกๆปี และจากยอดจำหน่ายรวมในปี 2555 แสดงให้เห็นว่า ในแต่ละวันจะมีผู้ซื้อรถโคโรลล่าราว 3,180 คันทั่วโลก
ในโอกาสสำคัญดังกล่าว หัวหน้าวิศวกรของโคโรลล่ารุ่นปัจจุบัน มร.ชินอิจิ ยาสุอิ กล่าวว่า “รถรุ่นนี้ประสบความสำเร็จจากแรงสนับสนุนของคนทั่วโลก และผมภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่ง รวมทั้งผมขอแสดงความขอบคุณต่อผู้ที่ครอบครองและผู้ที่ชื่นชอบในรถรุ่นนี้ ปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จก็คือการถ่ายทอดแนวคิดและจิตวิญญาณแห่งการพัฒนาจากผู้ริเริ่ม มร.ฮาเซกาว่า ที่ว่า รถโตโยต้า โคโรลล่า ต้องเป็นยานพาหนะที่สามารถนำพาความสุขและการเป็นอยู่ที่ดีสู่คนทั่วโลก”
วัตถุประสงค์ในการออกแบบรถโคโรลล่านั้นเริ่มแรกได้ถือกำเนิดจากความตั้งใจที่จะตอบสนองความต้องการในการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงไปของชาวญี่ปุ่นเมื่อช่วงกลางทศวรรษ 60 โดยหัวหน้าวิศวกรในขณะนั้น มร.ทัสซูโอะ ฮาเซกาว่า ได้ตระหนักถึงการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ระยะเวลาการเดินทางเพื่อไปทำงานในแต่ละวันเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นความต้องการในการเดินทางด้วยรถโดยสารส่วนบุคคลจึงสูงขึ้นตามมา และด้วยวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลของ มร.ฮาเซกาว่า เขาได้กำหนดหลักการของรถโคโรลล่าที่ว่า “การมุ่งพัฒนาและออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศ”
ในระยะแรกอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานที่มีมากมายของโคโรลล่านั้น เป็นเพียงแค่อุปกรณ์ทางเลือกสำหรับลูกค้าเท่านั้น จากนั้นโตโยต้าได้กำหนดอุปกรณ์เหล่านั้นให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อตอบสนองความต้องการของทุกครอบครัว และด้วยคำมั่นสัญญาของโตโยต้าที่มุ่งเสริมสร้างคุณภาพ รวมทั้งเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ๆ ในระดับราคาที่ทุกคนสามารถจับจองได้ ทำให้ โคโรลล่า กลายเป็นรถครอบครัวที่มียอดจำหน่ายสูงสุดทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย โคโรลล่าได้รับการแนะนำเข้าสู่ตลาดครั้งแรก ด้วยเจนเนอเรชั่นที่ 1 ในปี พ.ศ. 2509 และเจนเนอเรชั่นที่ 2 ในปี พ.ศ.2513 จากโรงงานผลิตของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ต่อมาเจนเนอเรชั่นที่ 3 ในปี พ.ศ.2515 จึงได้เริ่มสายการผลิตโคโรลล่าเป็นครั้งแรกที่ โรงงานประกอบรถยนต์สำโรง จ.สมุทรปราการ นับเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญที่สุดรุ่นหนึ่งของ โตโยต้า ในประเทศไทย ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าในฐานะ “รถยนต์นั่งยอดนิยมของคนไทย” ตลอดระยะเวลากว่า 47 ปี ที่โคโรลล่า สามารถครองความนิยมในฐานะรถยนต์นั่ง ที่เคียงคู่สังคมไทยมาโดยตลอด ด้วยยอดขายสะสมมากกว่า 620,000 คัน
สำหรับโคโรลล่า รุ่นปัจจุบัน ยังคงเป็นรถยอดนิยมของคนไทยจากการเปิดตัวในปี พ.ศ. 2551 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่งติดต่อกันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 จนถึงปัจจุบัน โดยในปีนี้ยังครองความเป็นที่หนึ่งด้วยยอดขายสะสมระหว่างเดือน ม.ค. — ก.ค. สูงถึง 28,084 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 41.8% ของตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Small-Hi market)