กรุงเทพฯ--12 ก.ย.--บีโอไอ
บีโอไอเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทยประจำปี 2556 นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่น และจะรักษาระดับการลงทุนในไทย รวมถึงมีแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติม โดยปัจจัยสำคัญที่เอื้อการลงทุนในไทย ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานวัตถุดิบ และอุตสาหกรรมสนับสนุน รวมทั้งสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน
นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยภายหลังงานสัมมนา “อนาคตลงทุนไทย ในสายตานักลงทุน” ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ว่า บีโอไอ ได้ดำเนินโครงการศึกษาวิเคราะห์ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทย ประจำปี 2556 ซึ่งผลการสำรวจ พบว่า ในช่วงปี 2556 - 2557 นักลงทุนส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 63 มีแผนจะรักษาระดับการลงทุนในประเทศไทย และนักลงทุนประมาณหนึ่งในสาม หรือร้อยละ 34 มีแผนที่จะขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยนักลงทุนจากญี่ปุ่น จีน และสหภาพยุโรป เป็นกลุ่มที่มีแผนขยายการลงทุนในสัดส่วนที่สูงกว่าชาติอื่น ทั้งนี้ จากการสำรวจ ไม่พบว่ามีนักลงทุนรายใดมีแผนจะถอนการลงทุนไปจากประเทศไทยในช่วงเวลาดังกล่าว
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการรักษาระดับหรือขยายการลงทุน ได้แก่ ความพร้อมของอุตสาหกรรมสนับสนุนและวัตถุดิบ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ รวมทั้งสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนจากบีโอไอ
เมื่อเปรียบเทียบปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้เกิดการลงทุนในไทยกับต่างประเทศ พบว่า ประเทศไทยมีปัจจัยที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจสูงกว่าเมื่อเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ (คะแนน 3.64 จากคะแนนเต็ม 5) เป็นรองเพียงสิงคโปร์ (3.79) แต่หากเปรียบเทียบกับประเทศนอกอาเซียน ประเทศไทยเป็นรองญี่ปุ่น (คะแนน 4.40) แต่มีความเอื้ออำนวยใกล้เคียงกับจีน (3.66)
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในไทย โดยนักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อว่าผลประกอบการในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรายได้รวม รายได้จากตลาดในประเทศ รายได้จากตลาดต่างประเทศ หรือผลกำไรในปี 2556 จะดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้า และจะดียิ่งขึ้นต่อไปในปี 2557 ทั้งนี้ นักลงทุนมีความเชื่อว่าภาระหนี้สินในปี 2556 และ 2557 จะอยู่ในระดับทรงตัว
ผลการสำรวจยังพบว่า นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาตั้งกิจการในประเทศไทยแล้วร้อยละ 13.60 มีความสนใจหรือมีแผนที่จะขยายการลงทุนไปในต่างประเทศ โดยประเทศที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจมากที่สุด ได้แก่ อินโดนีเซีย เวียดนาม เมียนมาร์ และมาเลเซีย ตามลำดับ
สำหรับผลสำรวจด้านความพึงพอใจต่อบริการที่ได้รับจากบีโอไอ พบว่า นักลงทุนโดยรวมพอใจกับสิทธิประโยชน์ที่ได้จากบีโอไอ และพอใจกับการให้บริการออนไลน์จากบีโอไอ รวมทั้งพอใจกับบริการที่ได้รับจากศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนหนึ่งอยากให้บีโอไอพัฒนาเรื่องความรวดเร็วในการให้บริการ อาทิ ระยะเวลาในการพิจารณาอนุมัติส่งเสริม รวมทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ให้มากขึ้นเพื่อให้บริการได้รวดเร็วขึ้น ตลอดจนการให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหา
“การจัดสัมมนาในวันนี้ นอกจากจะจัดขึ้นเพื่อนำเสนอผลการศึกษาที่ได้จากโครงการ ยังเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และให้ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการดำเนินงานของบีโอไอในด้านให้บริการ ให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีในประเทศไทย” นายโชคดีกล่าว
ทั้งนี้ บีโอไอได้มอบหมายให้ บริษัท ไบรอัน เคฟ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนินการการสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติในประเทศไทย ประจำปี 2556 ได้จัดทำขึ้นระหว่างเดือนมีนาคม — พฤษภาคม 2556 และได้รับความร่วมมือจากนักลงทุนกว่า 500 ราย โดยนักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่นคิดเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดในกลุ่มตัวอย่าง (ร้อยละ 51) และหากจำแนกตามประเภทธุรกิจ จะพบว่านักลงทุนในธุรกิจผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง คิดเป็นสัดส่วนสูงสุด (ร้อยละ 27)