กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
อีเอบีซี เปิดตัวเอกสารท่าทีและจุดยืนประจำปี 2556 เสนอให้มีการพัฒนาด้านการกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎระเบียบที่โปร่งใส รวมทั้งให้การเจรจาเอฟทีเอ ไทย-สหภาพยุโรปมีความคืบหน้า
สมาคมศูนย์ส่งเสริมธุรกิจยูโรเปียน—อาเซียน (อีเอบีซี) นำเสนอเอกสารท่าทีและจุดยืนของภาคธุรกิจยุโรปในประเทศไทยประจำปี 2556 เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 นับแต่การก่อตั้งอีเอบีซีช่วงปลายปี 2554 โดยนำเสนอมุมมองของภาคธุรกิจยุโรปในด้านการค้า การลงทุนระหว่างไทย—สหภาพยุโรป (อียู) พร้อมด้วยข้อเสนอแนะเพื่อขยายโอกาสทางการค้าการลงทุน รวมถึงสนับสนุนและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทย
ทั้งนี้ ฯพณฯ นายเดวิด ลิปแมน เอกอัครราชทูต —หัวหน้าสำนักงานคณะผู้แทนคณะกรรมาธิการยุโรปประจำประเทศไทยได้ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน และนายร๊อลฟ-ดีเตอร์ ดาเนียล นายกอีเอบีซีได้นำเสนอวิสัยทัศน์และวัตถุประสงค์หลักในการจัดทำเอกสารท่าทีและจุดยืนเพื่อนำไปสู่การหารือสร้างความร่วมมือในการดำเนินการกับภาครัฐให้มีผลเป็นรูปธรรมอย่างเป็นทางการในโอกาสต่อไป ภายในงานมีผู้แทนจากภาครัฐบาลไทย เอกอัครราชทูตจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป คณะทูตานุทูต ผู้บริหารจากภาคธุรกิจของยุโรปและไทย และสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศรวมประมาณ 200 คนเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
สำหรับเอกสารท่าทีและจุดยืนของภาคธุรกิจยุโรปในประเทศไทยประจำปี 2556 ฉบับนี้ มุ่งนำเสนอกรอบนโยบายการพัฒนาประเทศไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับนานาประเทศในระดับภูมิภาคได้มากขึ้น เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะมีขึ้นในปี 2558 โดยได้สำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจยุโรปในประเทศไทยเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่พบในการทำธุรกิจในประเทศไทยพร้อมด้วยข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายร๊อลฟ-ดีเตอร์ ดาเนียล นายกอีเอบีซี กล่าวว่า “ผมมีความภาคภูมิใจที่ได้จัดทำและเผยแพร่เอกสารท่าทีและจุดยืนของภาคธุรกิจยุโรปประจำปี 2556 ฉบับนี้ และเตรียมนำเสนอให้รัฐบาลไทยนำไปพิจารณาและปรับใช้เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้มีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้น และเสริมสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าการลงทุนมากขึ้น”
นายร๊อลฟ-ดีเตอร์ กล่าวบนเวทีในฐานะผู้แทนของกลุ่มสนับสนุนธุรกิจด้านประเด็นภาพรวม (cross-sectoral issues working group) ว่า ปัญหาที่จำเป็นต้องรีบเร่งแก้ไขตามที่ระบุไว้ในเอกสารท่าทีฉบับนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น และดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้มากขึ้น ได้แก่ การยกระดับความโปร่งใสในการจัดทำนโยบายและการใช้กฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ การพัฒนากระบวนการและขั้นตอนทางกฎหมายให้มีความคล่องตัวมากขึ้น และการเปิดเสรีของระบบเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจภาคบริการที่ปัจจุบันยังอยู่ล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน และการการสนับสนุนและเร่งผลักดันให้การเจรจาจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทย-อียู ประสบความสำเร็จเพื่อขยายโอกาสทางการค้าการลงทุน
นอกจากสามประเด็นสำคัญดังกล่าวข้างต้น ผู้แทนกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของอีเอบีซี ได้แก่ ยานยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม สุขภาพและเภสัชกรรม เทคโนโลยีการสื่อสารและสารนิเทศ ประกันภัย ทรัพย์สินทางปัญญา การคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ และพลังงานกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ได้กล่าวถึงประเด็นปัญหาต่างๆ พร้อมด้วยข้อเสนอแนะของแต่ละกลุ่มสนับสนุนธุรกิจตามที่เสนอไว้ในเอกสารท่าที
หลังจากช่วงการนำเสนอประเด็นปัญหาของแต่ละกลุ่มธุรกิจ ได้เปิดให้มีการซักถามจากผู้เข้าร่วมงานซึ่งคำถามส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับผลการศึกษาเบื้องต้น และได้เสนอแนะในการขยายขอบเขตการจัดทำเอกสารท่าทีให้มีเนื้อหาครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เชิงอุตสาหกรรม
ในตอนท้ายของงาน นายร๊อลฟ-ดีเตอร์ ได้กล่าวสรุปว่า “ปัจจุบัน ภูมิภาคอาเซียนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 โดยแต่ละประเทศต่างเตรียมตัวและทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาตนเองให้พร้อมแข่งขัน ประเทศไทยจึงอาจตกอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค หากไม่ใช้โอกาสนี้ในการเปิดเวทีการค้าและการลงทุนที่โปร่งใสเพื่อดึงดูดแรงงานที่มีคุณภาพ เทคโนโลยีที่ทันสมัย และเงินทุนเข้าประเทศเพื่อเสริมสร้างการเติบโตให้แก่ประเทศในระยะยาว อีเอบีซีหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารท่าทีและจุดยืนฉบับนี้จะเป็นแนวทางสำหรับผู้กำหนดนโยบายเพื่อนำไปใช้ในการวางแนวทางการพัฒนาประเทศไทยในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงในขณะนี้”
สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อ
อีเอบีซี
วิวัฒน์ จ่างตระกูล โทร: 02 670 0624
อีเมล communication@eabc-thailand.eu หรือ เยี่ยมชม www.eabc-thailand.eu
อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์ (เอบีเอ็ม)
โทร: 02 252 9871
อีเมล hongsinunt.s@abm.co.th