กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
‘บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี’ เตรียมเสนอขายหุ้น IPO 80 ล้านหุ้นเผยเป็นผู้นำด้านวิศวกรรมการผลิตติดตั้งอุปกรณ์ให้กับอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานระดับสากล ตั้ง บล.เคจีไอ เป็นที่ปรึกษาฯ นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
‘บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี’ ผู้นำด้านวิศวกรรมการผลิตติดตั้งอุปกรณ์ให้กับอุตสาหกรรมพื้นฐาน ที่ได้รับความไว้วางใจในระดับสากล มีลูกค้าในหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลีย ได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น ก่อนเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายหยัง เจิน ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัทบีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านวิศวกรรมการผลิตติดตั้งอุปกรณ์ให้กับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่มีชื่อเสียงระดับสากล เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป
กรรมการผู้จัดการ บมจ. บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี กล่าวแนะนำธุรกิจของบริษัทฯ ว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจผลิตอุปกรณ์ทางวิศวกรรมและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตามแบบและขนาดตามที่ลูกค้ากำหนด ด้วยรูปแบบการจ้างผลิตตามสัญญาโดยตรงจากเจ้าของโครงการและจากผู้รับเหมาโครงการหลัก
ทั้งนี้ ฐานลูกค้าส่วนใหญ่มาจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในต่างประเทศ ทั้งในทวีปออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง เอเชีย ยุโรป และอเมริกา โดยมีตลาดสำคัญอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ดี เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก จึงเป็นโอกาสของบริษัทฯ ที่อาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญผลิตอุปกรณ์ทางวิศวกรรมเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ได้แก่ อุตสาหกรรม พลังงานและปิโตรเคมี เหมืองแร่ เขื่อน โรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม รุกขยายตลาดรองรับงานเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการดำเนินธุรกิจที่ดีและผลักดันการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ยังช่วยลดการพึ่งพาตลาดภายในประเทศเพียงอย่างเดียวได้อีกด้วย
“จากจุดเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทฯ เมื่อปี 2537 โดยกลุ่มวิศวกรชาวเกาหลี ที่เริ่มจากธุรกิจแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก ที่ผลิตตามแบบของลูกค้าพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตประเภทโครงสร้างเตาเผาอุตสาหกรรมเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและก๊าซ สู่การขยายงานการผลิตแปรรูปและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ การให้บริการงานติดตั้งนอกสถานที่ และงานหล่อชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป ที่ครอบคลุมการให้บริการด้านการผลิตอุปกรณ์วิศวกรรม เพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ตอบ สนองความต้องการของลูกค้า ด้วยคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐานและการบริการส่งมอบที่ตรงต่อเวลา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านการผลิตที่ดี ที่สามารถผลักดันความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อไป” นายหยัง เจิน ลี กล่าว
ด้านนางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัท หลักทรัพย์เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มตระกูลลี ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ลดลงจาก 99.27% เหลือ 74.44%
ทั้งนี้ บริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียนจำนวน 320 ล้านบาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและเรียกชำระแล้ว มีจำนวน 240 ล้านบาท คิดเป็น 240 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำในการดำเนินธุรกิจวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิตและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตามแบบและขนาดที่ลูกค้าเป็นผู้กำหนด ซึ่งฐานลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทฯ เป็นลูกค้าต่างประเทศในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น พลังงานและปิโตรเคมี เหมืองแร่ เขื่อน โรงไฟฟ้า และอื่นๆ โดยมีตัวอย่างผลงานเช่น งานโครงสร้างเหล็กท่าเรือ โครงสร้างระบบสายพานอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ภาชนะบรรจุน้ำมัน ปิโตรเลียม โครงสร้างเตาเผา งานประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ เช่น แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ งานติดตั้งโรงงานไฟฟ้า เหมืองแร่ และ เขื่อนกันชายฝั่ง เป็นต้น
โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับการยอมรับด้านผลงานที่มีคุณภาพสูงและด้านความสามารถในการให้บริการผลิตอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างหลากหลาย ทำให้ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากลูกค้าระดับสากลทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก โดยลูกค้ามีทั้งกลุ่มผู้รับแหมาโครงการหลักที่เป็นผู้ให้บริการทางวิศวกรรมแบบครบวงจร หรือ EPC และลูกค้าที่เป็นเจ้าของโครงการโดยตรง ปัจจุบันบริษัทฯได้รับความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์และบริการเป็นอย่างมาก เนื่องจากคุณภาพของผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับสูงระดับสากล สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าได้ตรงเวลาในราคาที่แข่งขันได้ กอปรกับบริษัทฯ มีที่ตั้งโรงงานใกล้กับท่าเรือ ทำให้ส่งออกผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าจากผลงานที่เป็นที่ยอมรับดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับโอกาสในการเข้าร่วมประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการขยายฐานลูกค้าไปสู่ภูมิภาคต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงด้านรายได้ อีกทั้งได้รับงานโครงการมูลค่าสูงขึ้นต่อเนื่องทำให้มีแนวโน้มที่จะได้รับงานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอนาคต
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวด้วยว่า จากผลงานความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ทำให้บริษัทฯ มีฐานะการเงินเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จากการเติบโตของรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปี 2553 ที่มีรายได้ประมาณ 556 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 813 ในปี 2554 และเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2555 ซึ่งมีรายได้กว่า 3,613 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโต 344% นอกจากนี้ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 2,101 ล้านบาท ซึ่งเติบโตกว่า 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับการขยายตัวของโครงการลงทุนก่อสร้างในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปออสเตรเลีย ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของบริษัทฯ ในปัจจุบัน และยังมีกลุ่มลูกค้าในทวีปตะวันออกกลาง เอเซีย ยุโรปและอเมริกา อีกด้วย
นอกจากนี้ จากการที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ต้องเป็นอุปกรณ์ที่เน้นคุณภาพสูง เนื่องจากใช้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งหากไม่ได้คุณภาพจะเกิดความเสียหายต่อกระบวนการผลิตโดยรวมได้ ลูกค้าจึงเน้นให้ความสำคัญด้านคุณภาพมากกว่าด้านราคา ทำให้ที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถมีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิในระดับที่ดี ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมีกำไรเติบโตก้าวกระโดด โดยเพิ่มขึ้นจาก 71 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 792 ล้านบาทในปี 2555 คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 1,015% และเติบโตต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งมีกำไรสุทธิ 542 ล้านบาทเติบโตกว่า 145 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่บริษัทฯ มี backlog หรืองานในมือที่เซ็นสัญญาแล้วมากกว่า 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ มีการเข้าเสนองานหรือประมูลโครงการอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าบริษัทฯ จะมีศักยภาพและโอกาสในขยายธุรกิจได้อีกมาก โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้บริษัทฯ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในตลาดโลก อีกทั้งมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งรองรับการรับโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูง และขยายงานที่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อนขึ้น
สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะนำไปลงทุนในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของบริษัทฯ และลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์ อีกส่วนนำไปลงทุนก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่และปรับปรุงพื้นที่ภายในบริษัทฯ ส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนเพิ่มเติมในที่ดินและโรงงานแห่งใหม่ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการของบริษัทฯ