กรุงเทพฯ--18 ก.ย.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่ใกล้ครบกำหนดไถ่ถอน อันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและมีแหล่งกระแสเงินสดที่กระจายตัว รวมถึงการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเซ็นทรัล อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและได้รับผลกระทบได้ง่ายจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ รวมทั้งจากลักษณะของธุรกิจอาหารบริการด่วนที่มีอัตรากำไรต่ำ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมทั้ง 2 ประเภทจัดว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงเมื่อพิจารณาจากอุปทานของจำนวนห้องพักในโรงแรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการทำการตลาดเชิงรุกเป็นประจำในธุรกิจอาหารบริการด่วน ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในแบรนด์สินค้าหลักทั้งในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วนได้ต่อไป ทั้งนี้ บริษัทควรสำรองสภาพคล่องให้มีอย่างเพียงพอเพื่อรองรับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมและแหล่งเงินกู้ระยะสั้น
บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาก่อตั้งโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี 2523 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรม 1 แห่งในประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 บริษัทบริหารโรงแรมจำนวน 32 แห่งภายในประเทศและ 7 แห่งในต่างประเทศ ด้วยจำนวนห้องพัก 7,490 ห้อง โดยบริษัทบริหารงานโรงแรมในเครือ “เซ็นทารา”ภายใต้แบรนด์ของตนเอง บริษัทดำเนินธุรกิจอาหารบริการด่วนภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) โดยปัจจุบัน CRG ให้บริการอาหารบริการด่วนจำนวน 12 แบรนด์ ซึ่งประกอบด้วยร้านอาหารภายใต้แฟรนไชส์จากต่างประเทศหลากหลายแบรนด์ และแบรนด์ของบริษัทเองคือ “ริว ชาบู ชาบู” และ “เดอะ เทอเรส” ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 บริษัทมีจำนวนสาขาร้านอาหารรวมทั้งหมด 704 แห่งทั่วประเทศ
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหารคิดเป็นสัดส่วน 54%-58% ของรายได้รวมทั้งหมด ในขณะที่รายได้ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจโรงแรม โดยปกติบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจากโรงแรมคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 60% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายรวมทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยกเว้นในปี 2553 ที่สัดส่วนลดเหลือ 48% เนื่องจากผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมือง
ความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 20.0% เป็น 12.74 ล้านคนในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 ซึ่งส่งผลให้อัตราการเข้าพักโรงแรมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 79.5% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 70.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนอัตรารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่ของบริษัท (Revenue Per Available Room -- RevPAR) โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เป็น 3,579 บาทต่อวันในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 หรือเติบโต 30.5% จากช่วงเดียวกันของปีทีผ่านมา การเพิ่มขึ้นดังกล่าวบางส่วนเกิดจากราคาที่สูงขึ้นของห้องพักของโรงแรมใหม่ของบริษัทที่เปิดให้บริการ
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 20.1% สู่ระดับ 8,520 ล้านบาทเนื่องจากรายได้จากโรงแรมเพิ่มขึ้นอย่างมาก อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นจากระดับ 19.6% ในปี 2555 เป็น 22.0% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 เนื่องจากผลประโยชน์จากการประหยัดจากขนาดของธุรกิจโรงแรม
เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากจาก 1,548 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 2,344 ล้านบาทในปี 2555 และอยู่ที่ระดับ 1,624 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก 14.4% ในปี 2554 เป็น 17.6% ในปี 2555 และอยู่ที่ระดับ 19.2% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากระดับ 4.9 เท่าในปี 2554 เป็น 5.5 เท่าในปี 2555 และอยู่ที่ระดับ 7.2 เท่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2556 โดย ณ เดือนมิถุนายน 2556 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ประมาณ 2,000 ล้านบาทซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงิน
ภาระหนี้ของบริษัทอยู่ในระดับสูงจากการขยายตัวในธุรกิจโรงแรม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 58% ในระหว่างปี 2555 ถึงช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 โดยอัตราส่วนดังกล่าวสูงกว่าระดับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ ในระยะปานกลางคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะลดลงอยู่ในระดับ 50%-55% เนื่องจากเงินทุนจากการดำเนินงานเพียงพอที่จะใช้ในการดำเนินงานและใช้ลงทุนบางส่วน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะบริหารจัดการแผนการลงทุนอย่างรอบคอบและสามารถรักษาโครงสร้างเงินทุนให้แข็งแกร่งอยู่เสมอ
บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (CENTEL)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
CENTEL163A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
CENTEL163B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 A
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2559 A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable