กรุงเทพฯ--20 ก.ย.--ทริสเรทติ้ง
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงพื้นฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งของบริษัทและรายได้ประจำที่ค่อนข้างสม่ำเสมอจากเงินลงทุนใน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากประวัติผลงานที่ยังไม่ยาวนานเพียงพอของคณะผู้บริหารชุดปัจจุบันในการดำรงผลการดำเนินงานและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารในตำแหน่งสำคัญที่อาจจะเกิดขึ้น ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ การจัดอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์และแรงกดดันด้านอัตราค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ภายหลังการเปิดเสรีอย่างเต็มรูปแบบเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทยังทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดซึ่งมีผลต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงในคณะผู้บริหารที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2556 แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลประกอบการให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจได้ แม้ว่าจะมีแรงกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรอยู่บ้างจากขนาดของธุรกิจที่อาจจะหดตัวลง
บล. คันทรี่กรุ๊ป จัดได้ว่าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย บริษัทก่อตั้งในปี 2509 ภายใต้ชื่อ บริษัท แอ๊ดคินซัน เอ็นเตอร์ไปรส์ จำกัด ความเปลี่ยนแปลงในด้านผู้ถือหุ้นครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อตระกูลเตชะอุบลเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แทนตระกูลคิ้วคชาในปี 2549 ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556 ตระกูลเตชะอุบลถือหุ้น 17.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
นอกเหนือจากการให้บริการด้านต่าง ๆ ในธุรกิจหลักทรัพย์แล้ว บล. คันทรี่กรุ๊ป ยังมีเงินลงทุนใน บลจ. เอ็มเอฟซี โดยถือหุ้น 24.9% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดด้วย ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน บลจ. เอ็มเอฟซี นี้ถือเป็นแหล่งรายได้ประจำที่ค่อนข้างสม่ำเสมอแหล่งหนึ่งของบริษัท โดยมีสัดส่วนคิดเป็น 15% ของกำไรก่อนภาษีของบริษัทในปี 2555 นอกจากนี้ บริษัทยังมี บลจ. เอ็มเอฟซี เป็นลูกค้าสถาบันในประเทศรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อีกด้วย
ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทอยู่ในระดับ 5%-6% ตั้งแต่ปี 2553 ถึง 2555 ซึ่งทำให้บริษัทจัดอยู่ใน 5 อันดับแรกของอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายเดือนมานี้ ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทมีแนวโน้มลดลง โดยลงมาอยู่ที่ 3.6% ในเดือนสิงหาคม 2556 (อันดับ 13 ของอุตสาหกรรม) จากที่เคยสูงถึง 6.4% เมื่อเดือนมีนาคม 2556 (อันดับ 2) นอกจากนี้บริษัทยังมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในคณะผู้บริหารที่อาจเกิดขึ้นด้วย กล่าวคือผู้บริหารระดับสูงของบริษัทรายหนึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์อีกแห่งหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบต่อความเข้มแข็งทางธุรกิจตลอดจนผลประกอบการของบริษัทเนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่บริษัทอาจสูญเสียพนักงานและลูกค้าให้กับบริษัทหลักทรัพย์ดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงในคณะผู้บริหารของบริษัทจากเหตุการณ์นี้คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2556
การลดลงของส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทจะยังไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทในทันที ทั้งนี้ เนื่องจากอันดับเครดิตที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ได้พิจารณาถึงความไม่แน่นอนที่ผู้บริหารชุดปัจจุบันจะสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับสูงอย่างต่อเนื่องในระยะยาวเอาไว้ได้ด้วยแล้ว ภายใต้สมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้ง อันดับเครดิตองค์กรของ บล. คันทรี่กรุ๊ป ในปัจจุบันจะยังอยู่ที่ระดับเดิมได้อยู่แม้ว่าบริษัทอาจจะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดไปบ้าง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอาจเปลี่ยนแปลงได้ในกรณีที่คณะผู้บริหารชุดใหม่ไม่สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของบริษัทไว้ได้ หรือไม่สามารถรักษาผลประกอบการให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจได้ในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า
แม้ว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิของบริษัทจะลดลงบ้างจาก 81% ในปี 2553 มาอยู่ที่ 75% ในปี 2555 แต่อัตราส่วนดังกล่าวก็ยังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 60% การที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงอาจทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงในสภาวะตลาดและอุตสาหกรรมตลอดจนการแข่งขันมากกว่าคู่แข่งได้
บริษัทมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์อยู่บ้างจากการซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัททั้งในส่วนของการเก็งกำไรรายวันและการลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว ในด้านความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์นั้น บริษัทมียอดการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์คงค้างจำนวน 588 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 ซึ่งคิดเป็น 17% ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท และคิดเป็น 1.3% ของการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ทั้งอุตสาหกรรม
ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 3.4 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2556 ฐานทุนขนาดใหญ่สามารถช่วยรองรับความเสี่ยงด้านเครดิตจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์และความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์จากการซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทได้ บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปในระดับที่สูงมาอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 2555 อยู่ที่ 106% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ 7% ตามที่ทางการกำหนดอยู่มาก
บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable