กรุงเทพฯ--30 ก.ย.--พริสไพออริตี้
"ธีม พลาซ่า" ปักธงธุรกิจท่องเที่ยว ทุ่มงบ 500 ล้านบาท ผุดโปรเจ็กต์สวนน้ำระบบดิจิตอลแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียและทันสมัยที่สุดในประเทศ ภายใต้ชื่อ “ซานโตรินี วอเตอร์ แฟนตาซี” (Santorini Water Fantasy) ต่อยอดกระแสสวนสนุกที่ได้รับการตอบรับดีเกินคาด เผยใช้กลยุทธ์มีเดียแชริ่งเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย พร้อมอิมพอร์ตเครื่องเล่นมาตรฐานโลกจากประเทศตุรกี โดยมี Ares’s King Cobra งูยักษ์แผ่แม่เบี้ยสีแดงเป็นเครื่องเล่นซิกเนเจอร์ ตั้งเป้าลูกค้าปีแรก 1.5 แสนคน
นัสวีร์ ตันติจิรสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีม พลาซ่า ดีวีลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า “จากความสำเร็จของ ซานโตรินี พาร์ค ชะอำ ในเฟสแรกที่เกินเป้าจากที่คาดหมายไว้ ซึ่งมีผู้มาใช้บริการรวมกว่า 1.2 ล้านคน มีผลประกอบการ 200 ล้านบาทภายใน 8 เดือน จากเดิมตั้งไว้ที่ 170 ล้านบาท โดย 50% มาจากรีเทล 30% มาจากเครื่องเล่น ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากค่าเข้าและของที่ระลึก ทำให้เราคิดต่อจิ๊กซอว์เพิ่มโดยต่อจากนี้ไปธีม พลาซ่าจะลงมาทำเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเต็มตัว เพราะมองเห็นโอกาสทางตลาดที่ยังสามารถเติบโตได้อีก ประกอบกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ทำให้เราเกิดไอเดียริเริ่มสวนน้ำขึ้น มีจุดเด่นเป็นเครื่องเล่นสไลด์ที่ได้มาตรฐานโลก มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายทั้งเด็กเล็ก วัยรุ่น ตลอดจนครอบครัว บนพื้นที่ด้านหลังกว่า 20 ไร่ โดยใช้งบลงทุน 500 ล้านบาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนการลงทุนจาก BOI นอกจากนี้ ยังมีจุดขายที่แตกต่างจากคู่แข่งในเรื่องระบบดิจิตอลหรือมีเดียแชร์ริ่งที่เราลงทุนไปกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเราเรียกระบบนี้ว่า “ซานโตรินี คอนเนคส์” (Santorini Connects) โดยใช้คลื่นวิทยุ RFID ในการทำงาน ซึ่งจะทำให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการสามารถล็อกอินและใช้ริสแบนด์เป็นสื่อในการอัพโซเชียลมีเดีย โดยขณะเล่นเครื่องเล่นกล้องบนตัวสไลด์จะจับภาพไว้ พอลงมาหลังจากเล่นเสร็จ ผู้เล่นสามารถสแกน ริสแบนด์ตรงสถานีจุดเช็คพ้อยต์เพื่อเลือกภาพของตนเองและแชร์ไปที่เฟซบุ๊คได้ทันที ทำให้เพื่อนๆ สามารถเห็นภาพความเคลื่อนไหวของเราได้ตลอดเวลา”
นอกจากนี้ “ซานโตรินี วอเตอร์ แฟนตาซี” ยังมีเครื่องเล่นที่เป็นซิกเนเจอร์แห่งเดียวในเอเชีย นั่นคือ Ares’s King Cobra “เราเลือกซัพพลายเออร์โดยพิจารณาจากมาตรฐานความปลอดภัยเป็นหลัก ซึ่งเราได้บริษัทโพลินที่เป็นอันดับ 1 ของประเทศตุรกีและติดท็อป 3 ของโลกมาดูแลจัดการให้ทั้งหมด มีทั้งหมด 12 attractions และอีก 1 extra ride สามารถตอบสนองความต้องการของทุกวัย ตั้งแต่โซนเด็กเล็ก เด็กโตไปจนถึงเครื่องเล่นที่มีความตื่นเต้นดิ่งลงมาจากความสูง 19 เมตร โดยสามารถรองรับผู้เล่นได้ 3,500 คนต่อวัน ตั้งเป้าภายใน 1 ปีน่าจะมีผู้ใช้บริการสวนน้ำรวม 2.5 แสนคน สร้างรายได้กว่า 200 ล้านบาท ทั้งนี้ ได้มีการเปิดตัว “ซานโตรินี วอเตอร์ แฟนตาซี” แบบ ซอฟท์ลอนช์ไปแล้วเมื่อ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังจากนั้นคาดว่าจะเติบโตขึ้น 20-30% สำหรับค่าบริการ มี 2 อัตรา ดังนี้ General Admission Rates ผู้ใหญ่ 900 บาท เด็ก (สูงเกิน 130 ซม.) ผู้พิการและผู้สูงอายุ 500 บาท และ Thai Residents Rates (คนไทยและชาวต่างชาติที่มีถิ่นพำนักถาวรในประเทศไทย) ผู้ใหญ่ 700 บาท เด็ก (สูงเกิน 130 ซม.) ผู้พิการและผู้สูงอายุ 400 บาท ส่วนเด็กความสูงไม่ถึง 90 ซม.เข้าฟรี อัตรานี้สามารถเล่นได้ทุกอย่างและอยู่ได้ทั้งวัน เวลาเปิดบริการแล้ววันนี้ โดยวันที่ 1 ต.ค. 2556 จะเปิดเวลา 09.00 - 21.00 น. และตั้งแต่ 1 พ.ย. 2556 วันจันทร์-พฤหัสบดี จะเปิด 10.00 — 18.30 น. วันศุกร์ — อาทิตย์ จะเปิด 09.00 -21.00 น.”
ขณะที่ในส่วนของสวนสนุกก็ยังต่อยอดด้วยการเพิ่มเครื่องเล่นใหม่ ได้แก่ “Haunted House” หรือบ้านผีสิงที่นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นระบบดิจิตอล ซึ่งคาดว่าจะเปิดต้น ต.ค. และ “Trick Art Museum” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัท ธีม พลาซ่า ดีวีลอปเม้นท์ และ 411 นำเข้ามาจากประเทศเกาหลีใต้ โดยเป็นภาพระบบดิจิตอล 3 มิติ คาดว่าจะเปิดกลางเดือน ต.ค. ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์และกระแสเทคโนโลยีของคนในยุคปัจจุบัน “ปีนี้เราคาดว่าจะมีผู้มาใช้บริการในส่วนของซานโตรินี พาร์ค ชะอำ 1.5 ล้านคน สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน สัดส่วนผู้มาใช้บริการแบ่งเป็นคนไทย 80% และต่างชาติ 20% ซึ่งมีเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น เช่น เกาหลี จีน สแกนดิเนเวีย ยุโรป เป็นต้น ยอดผู้ใช้บริการวันธรรมดาอยู่ที่ 1,000 คน วันเสาร์ 5,000-6,000 คน วันอาทิตย์ 8,000 คนขึ้นไป และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 7,000-8,000 คนขึ้นไปเช่นกัน”
“ในปีนี้เรามีงบการตลาดและงบประชาสัมพันธ์สำหรับโครงการซานโตรินี ทั้งในส่วนของสวนสนุกและสวนน้ำรวม 30 ล้านบาท แบ่งเป็นสวนน้ำ 70% และสวนสนุก 30% โดยมีแผนจะเน้นการทำอีเว้นท์เป็นหลัก เช่น ในเดือน พ.ย.นี้จะมี กิจกรรมใหญ่ที่ร่วมจัดกับพันธมิตรทางธุรกิจ และปลายปีก็จะมีคอนเสิร์ตใหญ่ กลยุทธ์หลักคือขยายฐานลูกค้าใหม่ผ่านช่องทางการตลาดควบคู่กับการรักษาฐานลูกค้าเดิม โดยสร้างกิจกรรม การรับรู้ เพื่อให้คนกลับมาใช้บริการซ้ำ โดยมี โซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ”
ด้านแผนในอนาคต ทางผู้บริหารบริษัท ธีม พลาซ่า ดีวีลอปเม้นท์ จำกัด เผยว่า “หากสวนน้ำประสบความสำเร็จก็จะต่อยอดด้วยโปรเจ็กต์โรงแรมซึ่งถือเป็นเฟส 3 ขนาดประมาณ 120 ห้อง พร้อมสรรพด้วยฟังค์ชั่นรูม รองรับการจัดสัมมนา การประชุม สามารถรองรับได้ 300 คน ทั้งนี้ เพื่อสร้างความครบครันให้กับธุรกิจ โดยน่าจะใช้งบ 300 ล้านบาท บนพื้นที่ 10 ไร่ คาดว่าจะเปิดบริการได้ในปี 2558 และหากแล้วเสร็จ ทางบริษัทฯ มีแผนพัฒนาสวนสนุกแห่งใหม่ ซึ่งอาจจะเป็นเขาใหญ่หรือภูเก็ตต่อไป โดยในส่วนนี้ได้การเตรียมพื้นที่รองรับไว้แล้ว”