กรุงเทพฯ--1 ต.ค.--KTAM
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 36 ( KTFF36 ) ในวันที่ 2-8 ตุลาคม 2556 มูลค่า 7,000 ล้านบาท อายุ โครงการ 1 ปี เน้นลงทุนในเงินฝากประจำ Bank of China , บัตรเงินฝาก China Construction Bank (Asia) , MTN ออกโดย ICBC Asia Ltd. , MTN ออกโดย Banco Do Brasil S.A. , MTN ออกโดย BLADEX ในสัดส่วนบริษัทละ 20 % ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.25% ต่อปี นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายรอบใหม่(Roll Over ) กองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือนคุ้มครองเงินต้น 1 (KTFIX6M1 ) ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2556 อายุ 6 เดือน เน้นลงทุนในเงินฝาก /บัตรเงินฝาก/ตั่วแลกเงินของ ธนาคารธนชาต ธนาคารทิสโก้ และธนาคารICBC ประเทศไทย ในสัดส่วน 41% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.45% ต่อปี
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า ตลาดตราสารหนี้ไทยยังได้รับอิทธิพลจาก 2 ปัจจัย คือ ผลการตัดสินใจชะลอแผนการลดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของสหรัฐอเมริกา (QE Tapering) และการประกาศตารางประมูลพันธบัตรรัฐบาลชุดใหม่ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2557 ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทำให้ในช่วงต้นสัปดาห์ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรภาครัฐไทยปรับตัวลดลง โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาว ในขณะที่ตราสารระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ค่อนข้างทรงตัวและบางรุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนมีการขายตราสารระยะสั้นเพื่อไปลงทุนในตราสารที่มีอายุยาวขึ้น
อย่างไรก็ตาม การปรับลดลงของอัตราผลตอบแทนคาดว่าจะอยู่ในระดับจำกัด เนื่องจากตลาดการเงินส่วนใหญ่คาดว่ามาตรการลดอัดฉีดสภาพคล่องจะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า และจะกระทบต่อกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ แม้ว่าโดยภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว ซึ่งเอื้อต่อการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
ส่วนตลาดตราสารหนี้ในต่างประเทศ ผลจากการชะลอแผน QE Tapering ทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ปรับตัวลดลง ยกเว้น อัตราผลตอบแทนของเงินฝากและตราสารหนี้ของสถาบันการเงินบางประเทศที่ยังทรงตัวในระดับสูงเนื่องจากความต้องการระดมเงินในช่วงปลายปี นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลล่าร์สหรัฐ (แกว่งตัวในช่วง 31.00 — 31.35 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ) ซึ่งถือเป็นผลบวกสำหรับการลงทุนในต่างประเทศหากมีการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยเมื่อแปลงอัตราผลตอบแทนกลับมาในรูปสกุลเงินบาทแล้วจะทำให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นและสูงกว่าการลงทุนในประเทศ ทั้งนี้ กองทุนที่บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่าย จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับในช่วงเวลานี้ และมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน พร้อมทั้งผู้ลงทุนบุคคลธรรมดา ไม่เสียภาษีอีกด้วย