กรุงเทพฯ--14 ต.ค.--สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวเปิดการสัมมนาเรื่อง " ชูไทยสู่ ซีฟู้ด ฮับ รับ AEC " ณ สหกรณ์ตลาดทะเลไทย จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งจัดโดยความร่วมมือของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ และองค์กรในท้องถิ่น ประกอบด้วย ประมงจังหวัดสมุทรสาคร หอการค้าจังหวัดสมุทรสาคร สมาคมการประมงสมุทรสาคร สมาคมการประมงนอกน่านน้ำไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ชมรมธนาคารจังหวัดสมุทรสาคร และ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร วัตถุประสงค์เพื่อระดมความคิดเห็นในการแสวงหาและร่วมวางกลยุทธ์ให้ไทยเป็นศูนย์กลางตลาดอาหารทะเลของอาเซียนก่อนเปิด AEC รวมทั้งรักษาสถานะของอาหารทะเลไทยในตลาดโลกและยกระดับสู่ความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค ตลอดจนเป็นการสนับสนุนโยบายรัฐบาลในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการส่งออกของไทย
นายศิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันสินค้าประมงของไทยสามารถทำรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 200,000 ล้านบาท หรือประมาณ 1.5% ของ GDP เนื่องจากระบบการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการผลิตสินค้าประมงของไทยได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของประเทศคู่ค้าทั่วโลก แต่ด้วยข้อจำกัดของปริมาณสัตว์น้ำในน่านน้ำไทย การแข่งขันทางการค้า และการขาดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนด้านการส่งออกอาหารทะเล ทำให้ยังเป็นอุปสรรคต่อการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC
นายศิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของยุทธศาสตร์ไทยสู่ศูนย์กลางอาหารทะเลของอาเซียน จังหวัดสมุทรสาครนับเป็นกำลังหลัก ซึ่งมีทั้งความพร้อมและมีศักยภาพ ขณะเดียวกันก็มีจังหวัดที่มีพื้นที่ติดทะเลอีกถึง 22 จังหวัด ที่มีผลผลิตด้านอาหารทะเล โดยในจำนวนนี้มีหลายจังหวัดที่มีอุตสาหกรรมการผลิตรองรับเช่นกัน และพร้อมที่เข้าร่วมยกระดับประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในอาเซียน อย่างไรก็ตามการที่ประเทศไทยจะใช้โอกาสแห่งการรวมตลาดของอาเซียนเพื่อผลักดันตัวเองเป็นศูนย์กลางของตลาดอาหารทะเลอันดับต้น ๆ ของโลก และอันดับ 1 ของอาเซียนนั้น แม้มิใช่เรื่องยาก แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งในเชิงวิชาการ การปฏิบัติ การตลาด ด้วยกลยุทธ์เชิงสร้างสรรค์ผสมกับการผลักดันอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง ทั้งนี้ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ กรมประมง สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และองค์การสะพานปลา ก็พร้อมจะให้ความร่วมมือและประสานงานอย่างใกล้ชิด กับภาคเอกชน และชาวประมง เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ และเสริมสร้างจุดแข็งแก่ผลผลิตและผลิตภัณฑ์อาหารทะเลไทย ทั้งนี้ เพื่อให้อาหารทะเลไทยครองตลาดเหนือคู่แข่งอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป