กรุงเทพฯ--21 ต.ค.--ธนาคารธนชาต
TCAP รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 ปี 2556 เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ซึ่งเกิดจากความสามารถในการสร้างรายได้ของกลุ่มธนชาตทั้งรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย รวมถึงความสำเร็จในการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่มีสำรองเพิ่มขึ้นจาก NPL ที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2556 ว่า “กำไรสุทธิของกลุ่มธนชาตในไตรมาสนี้อยู่ที่ 2,968 ล้านบาท โดยเป็นกำไรในส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 1,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 386 ล้านบาท หรือ 30% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยมีสาเหตุมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ที่เพิ่มขึ้นจากปริมาณสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน จากความร่วมมือของทุกธุรกิจภายใต้กลุ่มธนชาต การเพิ่มขึ้นของการขายข้ามผลิตภัณฑ์ และภาวะตลาดที่เอื้ออำนวยในการทำธุรกิจ ด้านค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปตามแนวนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่ายที่กลุ่มธนชาตวางไว้ แต่อย่างไรก็ตามสำรองปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจาก NPL เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง”
ขณะที่ นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “บริษัทลูกทุกบริษัทภายใต้ธนาคารก็สามารถทำกำไรได้อยู่ในเกณฑ์ดี ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสนี้ของธนาคารและบริษัทย่อยยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 2,522 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน สำหรับการทำงานร่วมกับ พรูเด็นเชียล ก็สามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ในขณะที่รายได้จากการเป็นนายหน้าแนะนำผลิตภัณฑ์และบริการด้านประกันชีวิต ให้กับพรูเด็นเชียลก็เติบโตดี”
“ส่วนแนวโน้มการดำเนินธุรกิจ คาดว่าเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวต่อเนื่องและจากภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารจึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และจะเน้นกระจายสัดส่วนให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งธนาคารได้ดำเนินการพัฒนาขั้นตอนการทำงาน และระบบ IT ควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านการบริหารความเสี่ยง ซึ่งระบบต่างๆได้ทยอยใช้งาน และมีส่วนผลักดันให้ผลประกอบการดีขึ้นเป็นลำดับ อีกส่วนที่สำคัญคือการพัฒนาบุคลากรเพื่อให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับด้านเงินฝาก การแข่งขันมีแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคต ดังนั้นเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์น่าจะปรับตัวสูงขึ้น ธนาคารจึงต้องเน้นการเพิ่มสัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์มากขึ้น โดยจะมีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง”
และมีรายงานเพิ่มเติมว่า ในส่วนของคดีความล่าสุด ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง นายบันเทิง ตันติวิท และนายศุภเดช พูนพิพัฒน์ จากคดีที่ นายเกริกชัย ซอโสตถิกุล เป็นโจทก์ฟ้องอาญากรณีไม่บังคับขายหุ้น ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540