กรุงเทพฯ--28 ต.ค.--สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสกรณ์
นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมเป็นอ้อยโรงงาน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดจาก 33 จังหวัดที่มีโรงงานน้ำตาลเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากกรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมวิชาการเกษตร และหน่วยงานที่เกี่ยวเข้าร่วมประชุมว่า กระทรวงเกษตรฯ จำเป็นต้องเร่งรัดดำเนินโครงการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมมาปลูกอ้อยโรงงานในพื้นที่เป้าหมาย 33 จังหวัด จำนวน 8 แสนไร่ โดยเฉพาะพื้นที่ 50 กิโลเมตรรอบโรงงานน้ำตาล 20 แห่งที่มีความต้องการวัตถุดิบเพิ่ม เพื่อให้ทันฤดูกาลปลูกอ้อยที่เหมาะสมของปีนี้ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน หรือเรียกว่าช่วงข้ามแล้ง ที่ในช่วงเวลาดังกล่าวจะทำให้อ้อยมีเปอร์เซนต์ความหวานสูง น้ำตาลมีคุณภาพดี
ดังนั้น การประชุมร่วมกันในครั้งนี้ จึงได้ขอความร่วมมือผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายโซนนิ่งระดับจังหวัด เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 2-3 เดือนนี้ โดยเฉพาะการให้ความรู้และทำความเข้าใจกับเกษตรกรในพื้นที่ปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวมาเป็นอ้อยที่สร้างรายได้สูงกว่าหลายเท่า
ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกอ้อยนั้น นอกจากการดำเนินการภายใต้พรบ.อ้อยน้ำตาล และโรงงานอ้อยน้ำตาลก็จะยังคงให้ช่วยเหลือเงินลงทุนบางส่วนหรือเรียกว่าเงินเกี๊ยว เช่น ค่าต้นพันธุ์ ค่าปรับเปลี่ยนพื้นที่ เฉลี่ยไร่ 8,000 บาท ซึ่งถือว่ายังเป็นไปตามกลไกเดิมที่โรงงานให้การสนับสนุนแก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยแล้ว กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมพัฒนาที่ดิน และกรมชลประทานจะเข้าไปสนับสนุนเรื่องแหล่งน้ำขนาดเล็กให้แก่เกษตรกรควบคู่กันไปด้วย และที่สำคัญคือการให้ความรู้ทางด้านวิชาการต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องการปรับปรุงพันธุ์อ้อยเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นจากผลผลิตอ้อยต่อไร่ที่สูง จากปัจจุบันที่เกษตรกรผลิตได้เฉลี่ย 11 ตัน/ไร่ ไปสู่เป้าหมาย 15 ตันต่อไร่
อย่างไรก็ตาม ในส่วนพื้นที่ที่ได้เริ่มดำเนินการปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวที่ไม่เหมาะสมเป็นพื้นที่ปลูกอ้อยของเกษตรกรขณะนี้ พบว่า จังหวัดมหาสารคามได้ดำเนินการปรับเปลี่ยนเป็นอ้อยแล้ว 2 หมื่นไร่ รวมทั้งจังหวัดบุรีรัมย์และกำแพงเพชรก็มีความคืบหน้าดำเนินการในเรื่องนี้แล้วเช่นกัน