กรุงเทพฯ--31 ต.ค.--วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม
ศ. ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน ประธานกรรมการอาวุโส,อาจารย์พรพิสุทธิ์ มงคลวนิช ประธานกรรมการ,ดร.พิสิฐ พฤกษ์สถาพร กรรมการรองผู้อำนวยการ, ดร.กุลธิดา เสาวภาคย์พงศ์ชัย กรรมการรองผู้อำนวยการ และอาจารย์วัฒนา บุญปริตร กรรมการรองผู้อำนวยการ สำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ระดับอุดมศึกษา ร่วมแถลงผลสำรวจความคิดเห็นต่อพฤติกรรมการหาเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของวัยรุ่นในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวน 1,081 คน ส่วนใหญ่อายุเฉลี่ย 18-21 ปี ข้อมูลสำรวจนี้เก็บรวบรวมระหว่างวันที่ 22-29 ตุลาคม 2556 ด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่มเฉพาะเจาะจง Purposive Sampling
ศ.ศรีศักดิ์ สรุปผลการสำรวจพฤติกรรมดังกล่าว สูงสุด 5 อันดับแรก คืออยากมีเพื่อนเพิ่ม , แก้เหงา ,หาคู่/แฟน ,หาเพื่อนที่ชอบหรือสนใจในเรื่องเดียวกัน และเล่นเกม ตามลำดับส่วนสื่อยอดนิยมที่ใช้ในการหาเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน 5 อันดับแรก คือ Face book, Line, Twitter ,Skype และ What App Messenger โดยหาเพื่อต่างเพศที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเป็นส่วนใหญ่หรือคิดเป็นร้อยละ 70.57
ทั้งนี้การหาเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนผ่านสื่อสังคมออนไลน์นั้น พบว่ามักทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ 5 อันดับสูงสุด ได้แก่ การหนีออกจากบ้าน การล่วงละเมิดทางเพศ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินลดน้อยลง การเก็บตัวไม่พบปะผู้คน และผลการเรียนตกต่ำตามลำดับ
โดยสรุปผลการสำรวจทั้งหมดในด้านพฤติกรรมการหาเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนผ่านสื่อสังคมออนไลน์นั้น กลุ่มตัวอย่างประมาณสามในสี่หรือคิดเป็นร้อยละ 75.12 ระบุว่าตนเองเคยหาเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ สำหรับสื่อสังคมออนไลน์ที่กลุ่มตัวอย่างนิยมใช้หาเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนสูงสุด 3 อันดับได้แก่ Face book คิดเป็นร้อยละ 84.24 Line คิดเป็นร้อยละ 81.16 และ Twitter คิดเป็นร้อยละ 77.46 และเมื่อเปรียบเทียบวิธีการหาเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ระหว่างวิธีส่งคำขอเป็นเพื่อนกับการรับคำขอเป็นเพื่อนนั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 43.84 ระบุว่าใช้วิธีรับคำขอเป็นเพื่อนมากกว่า ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 36.33 ระบุว่าใช้ทั้งสองวิธีพอๆ กัน นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างมากกว่าสองในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 70.43 นิยมหาเพื่อนเพศตรงข้าม ขณะที่ร้อยละ 45.69 นิยมหาเพื่อนอายุเท่าๆ กัน และร้อยละ 30.42 นิยมหาเพื่อนที่มีอายุมากกว่า ขณะเดียวกัน กลุ่มตัวอย่างมากกว่าครึ่งหนึ่งหรือคิดเป็นร้อยละ 55.17 ระบุว่าตนเองเคยนัดพบกับเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 42.63 ระบุว่าตนเองนัดพบกับเพื่อนใหม่ที่รู้จักกันผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์เป็นครั้งแรกในสถานที่สาธารณะทั่วไป เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ป้ายรถเมล์ ร้านสะดวกซื้อ และอื่นๆ สำหรับสาเหตุสำคัญ 5 อันดับสูงสุดที่กลุ่มตัวอย่างหาเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนผ่านสื่อสังคมออนไลน์คือ อยากมีเพื่อนมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 82.14 อยากหาเพื่อนแก้เหงา คิดเป็นร้อยละ 78.57 อยากหาแฟน/หาคู่ คิดเป็นร้อยละ 73.89 อยากหาเพื่อนที่มีความสนใจ/ความชอบในเรื่องเดียวกัน คิดเป็นร้อยละ 72.91 และเพื่อเล่นเกม คิดเป็นร้อยละ 71.80 ส่วนสาเหตุสำคัญสูงสุด 3 อันดับของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยหาเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนผ่านสื่อสังคมออนไลน์คือ ไม่นิยมการหาเพื่อนใหม่ผ่านสื่อออนไลน์ คิดเป็นร้อยละ 83.27 กลัวความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน คิดเป็นร้อยละ 80.67 และกลัวถูกหลอก/ฉ้อโกง คิดเป็นร้อยละ 77.32
ในด้านความคิดเห็นต่อการหาเพื่อนใหม่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์นั้น กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เกือบหนึ่งในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 30.99 เชื่อว่าข้อมูลส่วนตัวที่แสดงบนสื่อสังคมออนไลน์ เช่น สถานที่เรียน/ทำงาน อายุ รูปภาพ สถานภาพการมีคู่ ของผู้ที่ต้องการหาเพื่อนใหม่นั้นเป็นข้อมูลจริงน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน หากกลุ่มตัวอย่างต้องการหาเพื่อนใหม่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน กลุ่มตัวอย่างถึงประมาณหนึ่งในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 33.86 ระบุว่าจะแสดงข้อมูลส่วนตัวของตนเอง เช่น สถานที่เรียน/ทำงาน อายุ รูปภาพ สถานภาพการมีคู่ ที่เป็นข้อมูลจริงน้อยกว่าครึ่งหนึ่งให้กับผู้อื่น นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างระบุว่าการหาเพื่อนผ่านสื่อสังคมออนไลน์จะนำไปสู่ปัญหาสำคัญ 5 อันดับสูงสุดคือ การหนีออกจากบ้าน คิดเป็นร้อยละ 82.61 การล่วงละเมิดทางเพศ คิดเป็นร้อยละ 80.85 ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินลดลง คิดเป็นร้อยละ 78.26 การเก็บตัวไม่พบปะผู้คน คิดเป็นร้อยละ 75.39 และผลการเรียนตกต่ำลง คิดเป็นร้อยละ 72.99 และบุคคลที่กลุ่มตัวอย่างเชื่อว่ามีส่วนช่วยเตือนสติให้ระมัดระวังปัญหา/อันตรายจากการหาเพื่อนใหม่ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนผ่านสื่อสังคมออนไลน์สูงสุด 3 อันดับได้แก่ พ่อแม่ผู้ปกครอง คิดเป็นร้อยละ 84.37 เพื่อนฝูง คิดเป็นร้อยละ 81.22 และบุคคลที่มีประสบการณ์ในการหาเพื่อนทางสื่อสังคมออนไลน์ คิดเป็นร้อยละ 76.78