กรุงเทพฯ--6 พ.ย.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
“บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี” กำหนดช่วงราคาขาย IPO ที่ 28-30 บาท คาดสรุปราคาขายที่แน่นอนได้ภายในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ ภายหลังจากสำรวจความต้องการซื้อของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) ก่อนเปิดให้ประชาชนจองซื้อภายในเดือนพฤศจิกายน ด้าน บล.เคจีไอ มั่นใจกระแสตอบรับดีเยี่ยม ขณะที่ผู้บริหารชี้ธุรกิจสดใสหลังอุตสาหกรรมหนักทั่วโลกมีการลงทุนต่อเนื่อง และมีคู่แข่งไม่มาก ส่งผลดีต่อความสามารถในการทำกำไรได้สูงจากการเข้ารับงานวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิตให้แก่ลูกค้า
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ BJCHI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้กำหนดช่วงราคา IPO ระหว่าง 28-30 บาท ซึ่งคิดเป็น P/E อดีต ที่ 8.05-8.62 เท่าจากผลประกอบการ 4 ไตรมาสล่าสุดโดยคิดเป็นส่วนละประมาณร้อยละ 48-52 เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ย P/E ของบริษัทจดทะเบียนที่มีธุรกิจคล้ายคลึงกันคือ STPI และSRICHA ซึ่งมีค่าเฉลี่ย P/E ประมาณ 16.7 เท่า ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถสรุปราคาขายหุ้นที่แน่นอนได้ภายในกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะใช้วิธีสำรวจความต้องการซื้อหุ้นของนักลงทุนสถาบันตามช่วงราคาดังกล่าว (Book Building) เพื่อกำหนดราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ก่อนเปิดให้นักลงทุนจองซื้อและเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
ทั้งนี้ บล. บมจ. เคจีไอ มั่นใจว่า หุ้น IPO ของ บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนจากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง โดยใน6 เดือนแรกปี 2556มีรายได้เติบโตกว่าร้อยละ 72 หรือมีรายได้ 2,116.54 ล้านบาท ในขณะที่กำไรเติบโตโดดเด่นกว่า 145% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยมีกำไรกว่า 542 ล้านบาท ในขณะที่มีงานในมือโตต่อเนื่องจำนวนมาก ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมพลังงานและก๊าซธรรมชาติ ที่สดใสโดยเฉพาะในประเทศออสเตรเลียที่มีมูลค่าการลงทุนในอุตสากรรมพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้เนื่องจาก บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี เป็นผู้ดำเนินธุรกิจวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิตและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตามแบบและขนาดที่ลูกค้าเป็นผู้กำหนด ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมของงานและบริการทั้งงานแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก งานแปรรูปและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ งานติดตั้งนอกสถานที่ และงานหล่อชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป ทำให้ BJCHI มีศักยภาพการแข่งขันที่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในตลาดต่างประเทศในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น พลังงานและปิโตรเคมี เหมืองแร่ โรงไฟฟ้า และอื่นๆ ซึ่งมีตลาดสำคัญอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย
สำหรับการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งสิ้น 80 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 320 ล้านบาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและเรียกชำระแล้ว มีจำนวน 240 ล้านบาท คิดเป็น 240 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ด้านนาย หยัง เจิน ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่ทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตที่ดี โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ทางด้านทรัพยากรธรรมชาติ ส่งผลต่อจำนวนโครงการและเงินลงทุนในอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่ในกลุ่มปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และเหมืองแร่ เป็นต้น รวมกว่า 350 โครงการ มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 5 แสนล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย ที่จะทยอยลงทุนต่อเนื่องไปจนถึงปี 2560 จึงเป็นโอกาสที่ BJCHI เข้าไปแข่งขันรับงานได้เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่างานในมือให้มากขึ้น จากปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 3,334 ล้านบาท โดยเป็นงานใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในระหว่างปี 2556 จำนวน 1,494 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้จากการส่งมอบงานไปจนถึงปี 2558
“ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจผลิตอุปกรณ์ทางวิศวกรรมและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มายาวนาน ที่ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มผู้รับเหมาโครงการและกลุ่มเจ้าของโครงการโดยตรง ทำให้เรามีขีดความสามารถการแข่งขันในธุรกิจที่ดีเพื่อรองรับแนวโน้มอุตสาหกรรมหนักทั่วโลกที่มีการขยายตัว ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง เพราะมีคู่แข่งในตลาดไม่มากและการแข่งขันด้านราคาไม่รุนแรง จึงส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่จะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต”
ส่วนเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ จะนำไปลงทุนในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของบริษัทฯ และลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์ อีกส่วนนำไปลงทุนก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่และปรับปรุงพื้นที่ภายในบริษัทฯ ส่วนที่เหลือจะนำไปลงทุนเพิ่มเติมในที่ดินและโรงงานแห่งใหม่ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในกิจการของบริษัทฯ