ฟิทช์: การเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายทำให้ระดับหนี้สินของโรงกลั่นสูงขึ้น

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 13, 2013 16:35 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--13 พ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าแม้ว่ามีการประกาศเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายจะมีแนวโน้มทำให้ระดับหนี้สินของโรงกลั่นในประเทศเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ได้มีผลกระทบในทันทีต่ออันดับเครดิตของโรงกลั่นที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตอยู่ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยจะต้องเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศเป็นร้อยละ 6 ของปริมาณการใช้น้ำมันภายในประเทศ จากเดิมที่ร้อยละ 5 โดยการเพิ่มขึ้นครั้งนี้รัฐบาลไทยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ในกรณีที่เกิดปัญหาด้านการขนส่งน้ำมันจากประเทศผู้ผลิตน้ำมันมายังประเทศไทยหากเกิดความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตน้ำมันขึ้น เนื่องจากประเทศไทยต้องพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันเป็นหลัก การเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันตามกฎหมายทำให้โรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยมีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้นในการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งทำให้ระดับหนี้สินเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้โรงกลั่นบางโรงอาจต้องจัดหาถังเก็บน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อจัดเก็บน้ำมันที่เพิ่มขึ้น การที่โรงกลั่นต้องมีสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นยังทำให้โรงกลั่นต้องเผชิญกับความผันผวนของกำไรและขาดทุนจากสินค้าคงคลังเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นด้วย ฟิทช์ได้ประมาณการหนี้สินที่อาจจะเพิ่มขึ้นเพื่อจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองที่เพิ่มขึ้นไว้ที่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ภายใต้สมมุติฐานราคาน้ำมันดิบที่ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่โรงกลั่นน่าจะบริหารจัดการได้ โดยหนี้สินที่เพิ่มขึ้นนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.2 เท่าของกระแสเงินจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์และหนี้สินจากการดำเนินงาน (funds from operation) รวมกันของโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่สุดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 5 โรง ซึ่งมีกำลังการกลั่นน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 85 ของกำลังการกลั่นน้ำมันทั้งประเทศ นอกจากนี้โรงกลั่นทั้งระบบมีต้นทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 0.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือประมาณ 3.2 พันล้านบาทต่อปี (คิดเป็นร้อยละ 4 ของกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย รวมกันของโรงกลั่นทั้ง 5 โรง ดังกล่าว) หากโรงกลั่นต่างๆไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวไปยังผู้บริโภค อย่างไรก็ตามผลกระทบของการเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงต่อโรงกลั่นแต่ละรายน่าจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปริมาณถังจัดเก็บน้ำมันที่ยังว่างอยู่ ต้นทุนต่อหน่วยในการจัดเก็บ ปริมาณน้ำมันสำรองที่มีอยู่เดิม รวมถึงต้นทุนทางการเงินสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน อย่างไรก็ตาม ฟิทช์คาดว่าต้นทุนที่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นจะไม่มีผลกระทบในทันทีต่ออันดับเครดิตของโรงกลั่นที่ฟิทช์จัดอันดับเครดิตอยู่ ซึ่งได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (AA(tha)/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ/F1+(tha)) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (AA-(tha)/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ/F1+(tha)) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (A-(tha)/แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ/F2(tha))

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ