กรมสรรพากรชี้แจง หลักเกณฑ์และข้อปฏิบัติภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราใหม่

ข่าวทั่วไป Thursday August 14, 1997 14:09 —ThaiPR.net

กรุงเทพ--14 ส.ค.--กรมสรรพากร
ตามที่ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 309) พ.ศ. 2540 ปรับปรุงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากเดิม ซึ่งจัดเก็บในอัตราร้อยละ 7.0 เป็นร้อยละ 10.0 โดยให้เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เป็นต้นไปนั้น เพื่อให้การแก้ไขเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป กรมสรรพากรจึงขอชี้แจงในสาระสำคัญดังต่อไปนี้
1. อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 10.0 เริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งมีผลทำให้การขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ในอัตราร้อยละ 10.0 ดังนั้น การออกใบกำกับภาษีตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เป็นต้นไป ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0
2. การขายสินค้าหรือการให้บริการตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 309) พ.ศ. 2540 ในกรณีดังต่อไปนี้ ยังคงได้รับสิทธิ์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ต่อไป
(1) การขายสินค้าหรือการให้บริการกับกระทรวง ทบวง กรม หรือราชการส่วนท้องถิ่นที่มิใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากรและได้มีการยื่นซองเสนอราคาหรือทำสัญญาก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540
(2) การขายสินค้าตามสัญญาให้เช่าซื้อหรือสัญญาซื้อขายผ่อนชำระที่กรรมสิทธิ์ในสินค้ายังไม่โอนไปยังผู้ซื้อเมื่อได้ส่งมอบ โดยได้มีการทำสัญญาและได้มีการผ่อนชำระตามสัญญานั้นแล้วก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เช่น บริษัท ก. ขายสินค้าให้แก่ลูกค้า ตามสัญญาเช่าซื้อหรือสัญญาซื้อขายผ่อนชำระที่กรรมสิทธิ์ในสินค้ายังไม่โอนไปยังผู้ซื้อเมื่อได้ส่งมอบสินค้า โดยทำสัญญาและได้มีการชำระค่างวดบางส่วนแล้วก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540
(3) การให้บริการตามสัญญาที่มีข้อกำหนดให้ชำระค่าตอบแทนตามส่วนของบริการที่ทำ โดยได้มีการทำสัญญาและได้มีการชำระค่าบริการตามส่วนของบริการที่ทำหรือได้มีการชำระค่าบริการบางส่วนแล้ว ก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เช่น การทำสัญญารับเหมาก่อสร้าง หรือสัญญาให้เช่าเครื่องจักร และได้มีการชำระค่ารับเหมาก่อสร้างหรือค่าเช่า เครื่องจักรบางส่วนแล้วก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540
ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ประสงค์จะได้รับสิทธิ์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ต่อไป ให้ยื่นคำขอตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดภายในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2540 โดยให้ยื่น ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ และในกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสถานประกอบการหลายแห่ง ให้ยื่นคำขอรับสิทธิ์ เป็นรายสถานประกอบการ ทั้งนี้ เว้นแต่ผู้ประกอบการจดทะเบียนดังกล่าวได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากรให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีรวมกัน ให้ยื่นคำขอรับสิทธิ์รวมกัน ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ที่สถานประกอบการที่ได้รับอนุมัตินั้นตั้งอยู่ พร้อมทั้งหลักฐานตามที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ได้รับสิทธิ์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ต่อไปสำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการตามสัญญาดังกล่าวจนกว่าการขายสินค้าหรือการให้บริการตามสัญญานั้นจะแล้วเสร็จ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2542 หากเกินกว่าวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2542 ส่วนที่เกินต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0
3. การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเพื่อชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับเดือนภาษีสิงหาคม พ.ศ. 2540 เป็นต้นไป
(1) การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีของเดือนภาษีสิงหาคม พ.ศ. 2540 คงยื่นเพียงฉบับเดียวตามปกติ แต่ให้แยกส่วนของภาษีขายและภาษีซื้อที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 15 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 และภาษีขายและภาษีซื้อที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 ถึง 31 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งต้องเสียภาษีมูลค่าในอัตราร้อยละ 10.0 ออกจากกันอย่างชัดแจ้งไว้ในใบแนบแบบแสดงรายการ ภ.พ.30 และให้นำภาษีขาย ภาษีซื้อ ตามใบแนบดังกล่าวมากรอกในแบบแสดงรายการ ภ.พ.30 พร้อมทั้งแนบใบแนบมากับแบบแสดงรายการ ภ.พ.30 ด้วย
สำหรับกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มีเครดิตภาษียกมาจากเดือนภาษีกรกฎาคม พ.ศ. 2540 ก็ยังคงมีสิทธิ์นำมาชำระภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนภาษีสิงหาคม พ.ศ. 2540 ได้ตามปกติ
(2) สำหรับการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีของเดือนภาษีตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2540 เป็นต้นไป ต้องคำนวณภาษีขายในอัตราร้อยละ 10.0 ทั้งหมดเว้นแต่ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ได้รับสิทธิ์เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ต่อไป สำหรับการขายสินค้าหรือการให้บริการตามข้อ 2 ให้ยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีโดยยังคงต้องแยกส่วนของภาษีขายและภาษีซื้อในอัตราร้อยละ 7.0 และส่วนของภาษีขายและภาษีซื้อในอัตราร้อยละ 10.0 ออกจากกันอย่างชัดแจ้ง ในใบแนบแสดงรายการ ภ.พ.30 เช่นเดียวกันกับที่กล่าวใน (1)
(3) แบบพิมพ์ใบกำกับภาษีที่ได้พิมพ์ไว้ก่อนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540 ถ้าได้ระบุอัตราภาษีร้อยละ 7.0 ไว้ในแบบพิมพ์ดังกล่าวด้วย ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เป็นต้นไป ให้ใช้แบบพิมพ์ดังกล่าวออกใบกำกับภาษีได้ต่อไป ถ้าเป็นกรณีต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10.0 ก็ให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นอัตราร้อยละ 10.0 ได้ เนื่องจากอัตราภาษีที่พิมพ์ไว้นั้นไม่ใช่รายการที่ต้องมีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีที่ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงนี้ จึงไม่เป็นภาษีซื้อต้องห้ามไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/5(5) แห่งประมวลรัษฎากร
(4) กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนออกใบกำกับภาษีด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ หากผู้ประกอบการจดทะเบียนไม่สามารถแก้ไขโปรแกรมของเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ทันภายในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2540 จึงได้ออกใบกำกับภาษีโดยคำนวณภาษีขายในอัตราร้อยละ 7.0 กรณีนี้ให้แก้ไขจำนวนภาษีขายที่เรียกเก็บเป็นอัตราร้อยละ 10.0 ได้ภายในกำหนดเวลาไม่เกิน 15 วัน นับแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2540 และอนุโลมให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ได้รับใบกำกับภาษีดังกล่าวนำจำนวนภาษีที่ถูกเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 10.0 ไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้
(5) การออกใบเพิ่มหนี้หรือใบลดหนี้ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะต้องอ้างอิงว่าเพิ่มหนี้หรือลดหนี้จากใบกำกับภาษีเดิมนั้น ถ้าใบกำกับภาษีเดิมเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 จะต้องออกใบเพิ่มหนี้หรือใบลดหนี้อัตราร้อยละ 7.0 และถ้าใบกำกับภาษีเดิมเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10.0 จะต้องออกใบเพิ่มหนี้หรือใบลดหนี้ในอัตราร้อยละ 10.0
(6) สำหรับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/16 ที่มีรายได้หรือที่มีมูลค่าของฐานภาษีจากการขายสินค้าหรือการให้บริการเกิน 600,000 บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี ซึ่งเดิมเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ของยอดรายได้หรือฐานภาษี ยังคงยื่นแบบแสดงรายการภาษีในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อไปตามเดิม--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ