กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--ทีเอ็มบี
ทีเอ็มบี เผย ในวันนี้สถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เอสแอนด์พี ได้ประกาศปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคาร เป็น BBB— ด้วยแนวโน้มมีเสถียรภาพ จากเดิม BB+ นับเป็นการตอกย้ำถึงการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่เหมาะสมและสะท้อนถึงการเติบโตอย่างมั่นคงของธนาคาร
ทั้งนี้ เอสแอนด์พีระบุว่า การปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือนี้เกิดจากความเชื่อมั่นว่า ธนาคารจะรักษาไว้ซึ่งพัฒนาการในด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี ทั้งนี้ ธนาคารมีกำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลต่างของดอกเบี้ยรับที่ดีขึ้น ตลอดจนมีผลกำไรจากการดำเนินงานก่อนการตั้งสำรองเพิ่มสูงขึ้นในระยะสองสามปีที่ผ่านมา
เอสแอนด์พียังกล่าวด้วยว่า แนวโน้มมีเสถียรภาพของอันดับความน่าเชื่อถือนี้ สะท้อนถึงการคาดการณ์ที่มีต่อทีเอ็มบีในการรักษาสถานะการดำเนินงานและมีผลกำไรที่ดียิ่งขึ้น
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี กล่าวว่า “การปรับเพิ่มอันดับอันดับเครดิตดังกล่าว เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า ทีเอ็มบีได้ดำเนินธุรกิจมาบนเส้นทางที่เหมาะสมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และสะท้อนให้เห็นถึงผลของการดำเนินตามกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวของธนาคาร โดยทีเอ็มบีมุ่งเน้นในการสร้างคุณค่าเพื่อลูกค้าด้วยการตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการธุรกรรมการเงิน ซึ่งทำให้เรามีความสำเร็จที่สำคัญๆ ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา และในขณะนี้เรากำลังมุ่งหน้าเสริมสร้างความสามารถของธนาคารในการสร้างผลงานที่ดียิ่งขึ้น”
ผลการดำเนินงานของทีเอ็มบีมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากนโยบายการดำเนินงานที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) กอรปกับการมุ่งสร้างคุณค่าเพื่อลูกค้า ทั้งนี้ คุณภาพของสินทรัพย์ของธนาคารดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตลอดช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา จากการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงเหลือ 3.79% และมีอัตราส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่สูงถึง 138% ทั้งนี้ ส่วนต่างดอกเบี้ยรับสูงขึ้นเนื่องจากกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากด้านธุรกรรมการเงิน และการเติบโตของผลตอบสินเชื่อ นอกจากนี้ธนาคารยังมุ่งเน้นในการเพิ่มรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยด้วยการขายข้ามผลิตภัณฑ์และส่งเสริมให้ลูกค้าเพิ่มสัดส่วนการใช้ผลิตภัณฑ์ของทีเอ็มบีมากยิ่งขึ้น และธนาคารมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยรวมเพิ่มขึ้น โดยสามารถอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลงเหลือจาก 50% จาก 57% เมื่อปีที่แล้ว