ทีอี ชี้ตลาดสายสัญญาณอาเซียนโต รับเทรนด์ดิจิทัล และคลาวด์ พร้อมรุกตลาดด้วยอีเว้นท์ใหญ่ในไทย

ข่าวเทคโนโลยี Friday November 15, 2013 14:51 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--APPR Media ทีอี คอนเน็คทิวิตี้ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์สายสัญญาณและอุปกรณ์เชื่อมต่อภายใต้แบรนด์ AMP Netconnect และ Krone เผยเทรนด์ใยแก้วนำแสงมาแรงรับการเติบโตของตลาดดิจิทัลคอนเท้นท์ และคลาวด์ พร้อมรุกตลาด ด้วยงาน “TE Connectivity Roadshow 2013” INTELLIGENT DATA CENTER WITH 100Gbps AND BEYOND ที่จะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิการยน 2013 ณ เซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลลาดพร้าว งานนี้นับเป็นงานใหญ่ที่ระดมผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างระบบไอที มาแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ อันจะเป็นแนวทางที่จะช่วยให้ผู้ดูแลระบบไอทีเตรียมความพร้อมในการแข่งขันที่ดุเดือดในอนาคต นอกจากนั้นยังมีการแบ่งปันประสบการณ์ทางด้านไอทีจากทุกมุมโลกของผู้บริหารระดับสูงของ ทีอี คอนเน็คทิวิตี้ อีกด้วย เนวิลล์ ไล ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจประจำภูมิภาคเอเชีย กลุ่มผลิตภัณฑ์เอ็นเตอร์ไพร์สเน็ตเวิร์กส์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ทีอี เอนเทอร์ไพรส์ เน็ตเวิร์กส์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคมีการเติบโต และการขยายตัวที่ดี โดยในแง่ของรายได้ ประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ตลาดมีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และใหญ่เป็นอันดับสองรองจากประเทศจีนสำหรับตลาดในเอเชีย ซึ่งประเทศไทยนับเป็นตลาดที่มีความสำคัญสูงสำหรับ ทีอี คอนเน็คทิวิตี้ โดยในส่วนของแนวโน้มทางเทคโนโลยี และการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง การขยายตัวของดาต้า เซ็นเตอร์ในกลุ่มองค์กรธุรกิจ และปริมาณความต้องการใช้งานดิจิทัล แอพพลิเคชั่นในกลุ่มผู้ใช้ตามบ้านที่เพิ่มสูงขึ้น คือสิ่งที่ทีอี เอนเทอร์ไพรส์ เน็ตเวิร์กส์มุ่งเน้นให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง “การเติบโตอย่างรวดเร็วของดิจิทัลคอนเท้นท์ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการดาวน์โหลดภาพยนตร์ ทีวีดิจิทัล หรือ แอพพลิเคชั่น รวมไปถึงการที่องค์กรธุรกิจต่างหันมาใช้งานระบบคลาวด์กันมากขึ้น ส่งผลให้จำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการรับ-ส่งข้อมูลให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดความต้องการใช้งานเทคโนโลยีโครงข่ายที่มีความเร็วสูงมากยิ่งขึ้น” นายรักเกียรติ หงษ์กาญจนพงษ์ ผู้อำนวยการผ่ายขาย ประจำภาคพื้นอาเซียนเหนือ กล่าวว่า ทีอีมีเป้าหมายหลักในการขยายตลาดในอาเซียนเพิ่มขึ้น เพราะเป็นตลาดใหญ่ และมีกำลังขยายการลงทุนด้านดาต้าเซ็นเตอร์อีกมาก และในปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้ขยายสำนักงานไปยังประเทศเวียดนาม และประเทศพม่าอีกด้วย “สำนักงานในประเทศพม่าจะได้รับการดูแล และบริหารโดยตรงจากสำนักงานประเทศไทย ซึ่งการขยายตลาดของ ทีอี คอนเน็คทิวิตี้ ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการสอดรับกับการที่ประเทศไทยจะเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2015 เราเชื่อว่าการมาถึงของ AEC จะช่วยกระตุ้นให้ตลาดมีการเติบโตมากขึ้น บริษัทต่างชาติจะเข้ามาดำเนินธุรกิจในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม พม่า รวมถึงประเทศไทยมากขึ้น องค์กรธุรกิจต่างๆ เช่น ธนาคารที่นับว่าเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนธุรกิจของประเทศ ต่างต้องลงทุนทางด้านไอทีเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการเพื่อสอดรับกับกฏระเบียบ ข้อบังคับใหม่ๆ ตลอดจนการเติบโตของธุรกิจ ทั้งหมดจึงนับเป็นปัจจัยที่จะกระตุ้นและผลักดันให้ตลาดไอทีมีการขยายตัวมากขึ้น” นายรักเกียรติ กล่าว นอกจากนี้ ทีอียังลงทุนสร้าง TE Innovation Center (TEIC) ขึ้นในทุกประเทศภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ทีอีมีการดำเนินธุรกิจอยู่ เช่น ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม (ฮานอย และโฮจิมิน) ประเทศไทย และต่อไปที่ประเทศพม่า โดยเป้าหมายของการลงทุนดังกล่าว นอกจากจะเป็นการสนับสนุนเรื่องของการฝึกอบรมให้แก่ลูกค้าแล้ว ยังเป็นการให้ความรู้ในเชิงลึกที่จับต้องได้จริง ที่สำคัญยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และพันธมิตรในแง่ความเชี่ยวชาญทางด้านของระบบสายสัญญาณของทีอีอีกด้วย “สำหรับ TEIC ในประเทศไทย เราลงทุนไปกว่า 10 ล้านบาท เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีทั้งหมดของทีอี โดยส่วนหนึ่งเป็นการจำลองห้องดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาเยี่ยมชม และทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีสายสัญญาณได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนั้นเรายังมีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ที่คอยให้คำแนะนำ เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการใช้งานของแต่ละองค์กร อาทิ ควอริโอ (Quareo) ที่ช่วยในการระบุตัวตนของจุดในการเชื่อมต่อของสายสัญญาณ พร้อมความสามารถในการมอนิเตอร์ และตรวจสอบประวัติการใช้งาน สามารถมองเห็นความเป็นไปของการเชื่อมต่อในดาต้าเซ็นเตอร์ ตั้งแต่ต้นทาง ไปจนถึงปลายทาง ผ่านซอฟต์แวร์ ICM ที่แสดงผลการเชื่อมต่อในลักษณะของรูปภาพอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่จริงแบบเรียลไทม์ รวมทั้งการสั่งงานแบบระยะไกลที่สะดวกและคล่องตัว ทั้งในดาต้าเซ็นเตอร์หรือข้ามไปยังดาต้าเซ็นเตอร์อื่นๆ ผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แทปเล็ต สมาร์ทโฟน นอกจากนี้เรายังมีระบบแอมพ์แทรค (AMPTRAC SYSTEM) ระบบการจัดการเชื่อมต่ออีกรูปแบบหนึ่ง ที่สามารถมองเห็น และรับรู้ว่าสายมีการเชื่อมต่ออยู่กับอุปกรณ์อะไรบ้าง และใช้งานอยู่ ณ ตำแหน่งใดในเครือข่าย ให้องค์กรธุรกิจเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมหรือความต้องการของธุรกิจได้อีกด้วย” นายรักเกียรติ กล่าว พร้อมกันนี้ ทีอียังเดินเกมรุก เพื่อสร้างศักยภาพด้านโครงสร้างสายสัญญาณในประเทศไทย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมระดับเลเยอร์ 1 ในดาต้าเซ็นเตอร์ให้สามารถส่ง-รับข้อมูลได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด ด้วยการเตรียมจัดงาน “TE Connectivity Roadshow 2013” INTELLIGENT DATA CENTER WITH 100Gbps AND BEYOND งานโรดโชว์ที่จะจัดขึ้นครั้งนี้ถือเป็นงานใหญ่ที่มีการระดมผู้เชี่ยวชาญด้านไอที และลูกค้า ตลอดจนพันธมิตร พร้อมกรณีศึกษาจากประสบการณ์ทั่วทุกมุมโลก เพื่อให้บุคลากรในแวดวงได้เก็บเกี่ยว พร้อมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในด้านการวางแผนระบบไอทีและเน็ทเวิร์ค รวมไปถึงกรณีศึกษาโครงการด้านไอทีจากประเทศต่างๆ จากผู้บริหารองค์กรระดับแนวหน้าของประเทศไทย ที่สำคัญทีอีพร้อมนำเสนอระบบโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ ที่นอกจากจะรองรับความเร็วได้ถึง 100 กิกะบิตต่อวินาทีแล้ว ยังสามารถบริหารจัดการได้อย่างง่ายดาย รวมไปถึงการเตรียมพร้อมเพื่อที่จะอัพเกรดระบบให้ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจภายในอนาคตอีกด้วย โดยวัตถุประสงค์ของงานนี้ก็เพื่อให้องค์กรธุรกิจในประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมเพื่อการพัฒนาศักยภาพความเป็นต่อทางด้านไอที ก่อนก้าวลงสู่สนามรบทางธุรกิจอย่างมั่นใจ โดยงานจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิการยน 2013 ณ เซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลลาดพร้าว
แท็ก อาเซียน   ลาว  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ