ปี 47 บริษัทจดทะเบียนทำกำไรเพิ่มขึ้น 37 % มูลค่ารวมกว่า 460,000 ล้านบาท

ข่าวทั่วไป Monday March 7, 2005 13:23 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 มี.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บจ.ใน SET และ mai รวม 457 บริษัทมีกำไรสุทธิรวมในงวด 2547 ถึง 464,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 จากปีที่ผ่านมา กลุ่มอุตสาหรรม 3 อันดับแรกที่มีกำไรสุทธิสูงสุดคือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์ mai จำนวน 457 บริษัท หรือร้อยละ 98 ของบริษัท จดทะเบียนทั้งหมด 468 บริษัท ได้ส่งงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2547 มายังตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว
“ปรากฏว่าผลการดำเนินงานประจำปี 2547 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ตลาดหลักทรัพย์ mai มีกำไรสุทธิรวมสูงถึง 464,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2546 ที่มีกำไรสุทธิรวม 337,986 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 โดยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ส่งงบการเงินมาจำนวน 434 บริษัท (จากทั้งหมด 444 บริษัท) มีผลกำไรสุทธิรวม 463,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 337,177 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 โดยมีบริษัทที่มีกำไรสุทธิ 396 บริษัท (ร้อยละ 91) และขาดทุนสุทธิ 38 บริษัท (ร้อยละ 9) และมียอดขายรวม 3,751,467 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24
โดยในปี 2547 มีกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 3 อันดับแรกคือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง” นายกิตติรัตน์กล่าว
ด้านบริษัทในกลุ่ม SET 50 มีกำไรสุทธิ 326,465 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 70 ของกำไรสุทธิของบริษัท จดทะเบียนรวม มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 38 เนื่องจากปริมาณและราคาขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการ เติบโตของต้นทุน โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 และมีกำไรขั้นต้นร้อยละ 29 ทั้งนี้ บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรกคือ บมจ.ปตท.(PTT), บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC), บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และ บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนจำนวน 399 บริษัท แยกตามกลุ่มอุตสาหกรรม 8 กลุ่ม มีกำไรสุทธิรวม 434,658 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 94 ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม เรียงลำดับตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุดดังนี้
1. กลุ่มทรัพยากร ประกอบด้วยหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค 15 บริษัท และหมวดเหมืองแร่ 1 บริษัท มีกำไรสุทธิ 114,101 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62 เนื่องจากหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เนื่องจากปริมาณการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจประกอบกับราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และดอกเบี้ยจ่ายลดลงร้อยละ 6
2. กลุ่มธุรกิจการเงิน ประกอบด้วยหมวดธนาคาร หมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ และหมวดประกันภัยและประกันชีวิต 66 บริษัท มีกำไรสุทธิ 92,915 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 59
ทั้งนี้ หมวดธนาคารพาณิชย์ มีกำไรสุทธิรวม 77,314 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 39,015 ล้านบาท เนื่องจากหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญลดลงร้อยละ 38 รายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 ในขณะที่หมวดธุรกิจเงินทุนและธุรกิจหลักทรัพย์ (ไม่รวมบริษัทที่ประกอบธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง) จำนวน 21 บริษัท มีกำไรสุทธิ 9,277 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน (13,809ล้านบาท) หรือลดลงร้อยละ 33 โดยกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์มีขาดทุนสุทธิ 56 ล้านบาท เนื่องจาก บล.เอเซีย พลัส จก. (มหาชน) (ASP) ได้ตัดจำหน่ายต้นทุนเงินลงทุนที่เกินกว่ามูลค่ายุติธรรมของบล.แอสเซท พลัส จก. 4,460 ล้านบาท ดังนั้น หากไม่รวมผลการดำเนินงานของ ASP กลุ่มธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์จะมีกำไรสุทธิ 3,263 ล้านบาท
ส่วนบริษัทประกันภัย 18 แห่ง และประกันชีวิต 2 แห่ง มีกำไรสุทธิรวม 3,055 ล้านบาท มีกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 9 และมีกำไรจากการประกันภัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 17
3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ประกอบด้วยหมวดวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง 30 บริษัท และหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 39 บริษัท (ยังไม่ส่งงบการเงิน 2 บริษัท) มีกำไรสุทธิ 79,923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 18 เนื่องจากยอดขายที่เติบโตร้อยละ 28 ตามความต้องการวัสดุก่อสร้างภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นและราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเหล็ก รวมทั้งดอกเบี้ยจ่ายลดลงร้อยละ 15
4. กลุ่มบริการ ประกอบด้วย 7 หมวดธุรกิจรวม 78 บริษัท มีกำไรสุทธิ 54,546 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 45 เนื่องจากยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 โดยหมวดขนส่งและโลจิสติกส์มีสัดส่วนกำไรสุทธิร้อยละ 61 ของกลุ่มอุตสาหกรรม มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 และมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 24 เนื่องจากปริมาณการใช้บริการเพิ่มขึ้นและอัตราค่าระวางการขนส่งทางน้ำปรับตัวดีขึ้น
5. กลุ่มเทคโนโลยี ประกอบด้วยหมวดสื่อสาร หมวดชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ และหมวดเครื่องใช้ ไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์ 44 บริษัท มีกำไรสุทธิ 43,519 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เนื่องจากมียอดขายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 22 และดอกเบี้ยจ่ายลดลงร้อยละ 7 โดยหมวดสื่อสารมีกำไรสุทธิคิดเป็นร้อยละ 80 ของกลุ่มอุตสาหกรรม
6. กลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม 48 บริษัท มีกำไรสุทธิ 34,155 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 78 เนื่องจากกำไรของกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 80 ของกลุ่มอุตสาหกรรม) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 139 เนื่องจากราคาปิโตรเคมีอยู่ในวงจรขาขึ้น
7. กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ประกอบด้วยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม 22 บริษัท และหมวดธุรกิจการเกษตร 20 บริษัท มีกำไรสุทธิ 8,672 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่มมีกำไรสุทธิลดลงร้อยละ 12 และมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 18 เนื่องจากราคาวัตถุดิบสูงขึ้น ในขณะที่หมวดธุรกิจการเกษตรมีกำไรลดลงร้อยละ 25 เนื่องจากปริมาณและราคาขายของ ผู้ประกอบการรายใหญ่ลดลง อันเนื่องมาจากผลกระทบจากไข้หวัดนก และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
8. กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 39 บริษัท มีกำไรสุทธิ 6,827 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 71 เนื่องจากการโอนกลับรายการของบริษัทในกลุ่มแฟชั่น อย่างไรก็ตาม บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มนี้มียอดขายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 6 และมีอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 19
กรรมการและผู้จัดการกล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในหมวด REHABCO ว่ามีจำนวน 35 บริษัท (จาก 40 บริษัท) ที่ส่งงบการเงิน ในจำนวนนี้มีกำไรสุทธิ 25 บริษัทและขาดทุนสุทธิ 10 บริษัท โดยมีกำไรสุทธิรวม 28,624 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27,237 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เนื่องจากมียอดขายเพิ่มขึ้น 80,892 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 62 และมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ 21,435 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 40
สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างฟื้นฟูการดำเนินงานหรือ REHABCO ณ 31 ธันวาคม 2547 มีหนี้คงค้างรวม 242,294 ล้านบาท ลดลง 49,522 ล้านบาท จากสิ้นปี 2546 ซึ่งมีมูลหนี้ทั้งสิ้น 291,816 ล้านบาท สำหรับสถานะการฟื้นฟูกิจการของบริษัทในหมวด REHABCO ตั้งแต่ 1 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 2 มีนาคม 2548 สรุปได้ดังนี้
- มีบริษัทที่เปิดซื้อขายในหมวด REHABCO 12 บริษัท
- มีบริษัทที่ย้ายเข้าหมวด REHABCO เพิ่มขึ้น 3 บริษัท คือ บมจ. ทุนเท็กซ์ (ประเทศไทย) (TUNTEX) , บมจ. บางกอกรับเบอร์ (BRC) และ บมจ. ศรีไทยฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจ (SRI)
- มีบริษัทที่ย้ายกลับหมวดปกติ 7 บริษัท คือ บมจ. อีเอ็มซี (EMC), บมจ.แนเชอรัล พาร์ค (N-PARK), บมจ. มิลเลนเนียม สตีล (MS), บมจ. ไรมอน แลนด์ (RAIMON), บมจ. คริสเตียนีและนีลเส็น (ไทย) (CNT), บมจ. ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น (SYNTEC), และ บมจ. อีสเทิร์นไวร์ (EWC)
“ด้านบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ได้ส่งงบการเงินมาจำนวน 23 (จากทั้งหมด 24 บริษัท) มีผลกำไรสุทธิ 22 บริษัท โดยมีกำไรสุทธิรวม 1,035 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 809 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 28” นายกิตติรัตน์กล่าวสรุป
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร
ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229 — 2036 /
กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229 — 2037/
ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-2229 — 2049--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ