กรุงเทพฯ--18 พ.ย.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
บมจ. บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี เคาะราคาขายหุ้น IPO ที่ 30 บาท ได้รับเสียงตอบรับคับคั่งจากนักลงทุนสถาบัน โดยมียอดจองล้นกว่า 9 เท่า เหตุธุรกิจมีพื้นฐานดี กำไรเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมาและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดย KGI ในฐานะที่ปรึกษาฯ และ ลีดอันเดอร์ไรเตอร์ จูงมือ 7 อันเดอร์ไรเตอร์ ได้แก่ บล. บัวหลวง บล.โนมูระ พัฒนสิน บล.ฟินันเซีย ไซรัส บล.ทิสโก้ บล.เอเซีย พลัส บล.เคทีบี (ประเทศไทย) และ บล.ฟิลลิป เปิดให้ประชาชนจองซื้อ 19-22 พฤศจิกายน 2556 คาดเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2556
นายหยัง เจิน ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านวิศวกรรมการผลิตติดตั้งอุปกรณ์ให้กับอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานระดับสากล เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้นแล้ว โดยกำหนดราคาเสนอขายที่หุ้นละ 30 บาท พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Lead Underwriter) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้กับประชาชนเป็นครั้งแรกด้วย พร้อมกับบริษัทหลักทรัพย์อีก 7 แห่งเป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Co Underwriter) ได้แก่ บล. บัวหลวง, บล. โนมูระ พัฒนสิน, บล. ฟินันเซีย ไซรัส, บล. ทิสโก้, บล. เอเซีย พลัส, บล. เคทีบี (ประเทศไทย) และ บล. ฟิลลิป ซึ่งหลังจากนี้จะเปิดเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัทฯ ให้กับประชาชน ระหว่างวันที่ 19-22 พฤศจิกายน 2556 และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ ประมาณวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “BJCHI”
นาย หยังเจิน ลี มั่นใจว่า บริษัทฯ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญการดำเนินธุรกิจผลิตอุปกรณ์ทางวิศวกรรมและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อนำไปใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่มายาวนาน ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มผู้รับเหมาโครงการและกลุ่มเจ้าของโครงการโดยตรง ทำให้บริษัทมีขีดความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจที่ดี สามารถรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่ทั่วโลกที่กำลังขยายตัว และจัดเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง คู่แข่งน้อยราย การแข่งขันด้านราคาไม่รุนแรง จึงส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่จะสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งต่อไปในอนาคต
“จากแนวโน้มอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่ในประเทศออสเตรเลียมีการขยายตัวที่สดใส เช่น กลุ่มปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และเหมืองแร่ โดยคาดว่าจะมีโครงการลงทุนดังกล่าวประมาณ 350 โครงการซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนมหาศาลมูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในระหว่างปี 2556-2560 จึงถือเป็นโอกาสของบริษัทฯ ที่จะใช้ความพร้อมของงานและบริการทั้งงานแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก งานแปรรูปและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ งานติดตั้งนอกสถานที่ และงานหล่อชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปเข้าไปแข่งขันรับงานเพิ่มมูลค่างานในมือให้มากขึ้น ” นายหยัง เจิน ลี กล่าว
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ BJCHI กล่าวว่า มั่นใจว่าหุ้น IPO ของ BJCHI จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ รายได้และกำไรเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ BJCHI มีรายได้รวมเท่ากับ 3,018.63 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจาก 2,403.27 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิก็เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิกว่า 952 ล้านบาทเติบโตกว่า 71 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิในช่วง 9 เดือนแรกนี้สูงกว่ากำไรในปี 2555 ทั้งปี จากยอดขายที่สูงขึ้นและความสามารถในการทำกำไรที่ดี โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นกว่าร้อยละ 51 และมีอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 45 อีกด้วย
สำหรับราคาเสนอขายหุ้น BJCHI ที่ 30 บาทต่อหุ้น เป็นราคาที่เกิดจากการสำรวจความต้องการซื้อของนักลงทุนสถาบันชั้นนำ (Book Building) ซึ่งมีความต้องการจองซื้อล้นกว่า 9 เท่า ราคาที่เสนอขายถือว่าเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ โดยคิดเป็น P/E เพียง 8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย P/E ของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างซึ่งมีธุรกิจคล้ายคลึงกับบริษัทที่ 16.67 เท่า หรือคิดเป็นส่วนลดให้นักลงทุนถึง 52% จึงคาดว่านักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในระดับที่ดีจากการลงทุน นอกจากนี้คาดว่าความต้องการส่วนเกินดังกล่าวจะเป็นแรงดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัทฯ ภายหลังจากที่หุ้นของบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 320 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 240 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 240 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ส่วนที่เหลือ 80 ล้านหุ้น ได้เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตของบริษัทฯ และลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่และปรับปรุงพื้นที่ภายในบริษัทฯ อีกทั้งยังจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในที่ดินและโรงงานแห่งใหม่อีกด้วย ส่วนจำนวนเงินที่เหลือจากจากโครงการลงทุนต่างๆ ทางบริษัทฯ ก็จะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อไป