BJCHI ชี้ปัจจัยเศรษฐกิจ-การเมืองในประเทศไม่กระทบธุรกิจ เหตุฐานลูกค้าและรายได้หลักมาจากตลาดต่างประเทศ

ข่าวทั่วไป Monday December 2, 2013 10:22 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 ธ.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ ?บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี? หรือ BJCHI ชี้ปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัว-ปัญหาการเมืองในประเทศไม่กระทบการดำเนินธุรกิจ ระบุฐานลูกค้าและสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทฯ มาจากตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเป็นหลัก ด้าน KGI ชี้ลักษณะธุรกิจของ BJCHI มีการแข่งขันที่ไม่รุนแรง เหตุคู่แข่งน้อยราย หนุนขีดความสามารถทำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้ารับงานวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิตและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั่วโลก ช่วยหนุนผลการดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง นายหยัง เจิน ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ BJCHI ผู้ดำเนินธุรกิจวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิตและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตามแบบและขนาดที่ลูกค้าเป็นผู้กำหนด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวและปัญหาการเมืองในปัจจุบัน บริษัทฯ มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคตของ BJCHI เนื่องจากบริษัทฯ มีฐานลูกค้ามาจากการเข้ารับงานโครงการในอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่จากตลาดต่างประเทศ ทั้งในทวีปออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง เอเชีย ยุโรปและอเมริกา โดยจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบัน BJCHI มีรายได้ตามสัญญามาจากตลาดต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งตลาดสำคัญอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ทั้งนี้ บริษัทฯมองว่า ตลาดในประเทศออสเตรเลียเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่จำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และเหมืองแร่ โดยคาดว่าจะมีโครงการลงทุนดังกล่าวประมาณ 350 โครงการซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนมหาศาลมูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในระหว่างปี 2556-2560 จึงเป็นโอกาสที่บริษัทฯ สามารถใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ตลอดจนความพร้อมของสินค้าและบริการทั้งงานแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก งานแปรรูปและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ งานติดตั้งนอกสถานที่ และงานหล่อชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปเข้าไปแข่งขันรับงานเพิ่มมูลค่างานในมือให้มากขึ้น ด้านนางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี กล่าวว่า ด้วยลักษณะของธุรกิจของ BJCHI จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง คู่แข่งน้อยราย การแข่งขันด้านราคาไม่รุนแรง จึงส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกที่ผ่านมาของบริษัทฯ ซึ่งมี รายได้รวมอยู่ที่ 3,018 ล้านบาท หรือโตกว่า 25% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 952 ล้านบาท หรือโตกว่า 71% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน โดยเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนการรับรู้รายได้จากงานประเภท Modularization และเป็นการรับงานตรงจากเจ้าของโครงการเพิ่มมากขึ้น ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเพียงเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 41% และ 32% ใน 9 เดือนแรกปี 2556 ตามลำดับ โดยเฉพาะในไตรมาส 3 อัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 52% และ 45% ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นอัตรากำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ BJCHI ?ปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัวและปัญหาการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ BJCHI เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักมาจากตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งบริษัทฯมีความพร้อมที่เข้าไปแข่งขันรับงานด้านวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิตและติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมหนักทั่วโลกที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงมั่นใจว่า หุ้น BJCHI ซึ่งจะเข้าทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างแน่นอน โดยถือเป็นหุ้นน้องใหม่ซึ่งเป็นอีกทางเลือกให้นักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศได้? นางสาวพัชพร กล่าว ปัจจุบัน BJCHI มีทุนจดทะเบียนจำนวน 320 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วจำนวน 240 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 240 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ส่วนที่เหลือ 80 ล้านหุ้น ได้เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตของบริษัทฯ และลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่และปรับปรุงพื้นที่ภายในบริษัทฯ อีกทั้งยังจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในที่ดินและโรงงานแห่งใหม่อีกด้วย ส่วนจำนวนเงินที่เหลือจากจากโครงการลงทุนต่างๆ ทางบริษัทฯ ก็จะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ