กรุงเทพฯ--16 ธ.ค.--ตลท.
บมจ. จี แคปปิตอล (GCAP) ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรแห่งแรกของประเทศพร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 17 ธ.ค.นี้ เป็น บจ. เข้าใหม่ใน mai อันดับที่ 13 ของปีนี้ ด้วย market capitalization 540 ล้านบาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. จี แคปปิตอล (GCAP) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 17 ธันวาคม 2556 แม้ปัจจุบันมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจและภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ไทยยังเป็นทางเลือกหนึ่งที่ธุรกิจสามารถใช้ระดมทุนเพื่อขยายกิจการได้ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม
GCAP เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท สองน้ำ จำกัด (ครอบครัวสารสาส) และธนาคารออมสิน จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนเกษตรกรให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นเพื่อนำไปเพิ่มประสิทธิภาพในการทำเกษตรกรรม โดยบริษัทให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อแก่ลูกค้าที่ต้องการซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรทั้งเครื่องจักรใหม่และที่ใช้แล้ว อาทิ รถเกี่ยวนวดข้าว รถพรวนดิน และรถแทรกเตอร์ เป็นต้น ภายใต้แนวคิด “สินเชื่อฉับไว เกษตรไทยก้าวหน้า” GCAP มีทุนชำระแล้ว 100 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 150 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 50 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 26 – 28 พฤศจิกายน 2556 ในราคาหุ้นละ 2.70 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 135 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายสันติ หอกิตติกุล กรรมการผู้จัดการ GCAP เปิดเผยว่า จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งและขยายธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตที่ดีในอนาคตเพื่อรองรับปริมาณความต้องการของลูกค้าสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GCAP 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มสองน้ำ ถือหุ้น 47.26% กองทุนส่วนบุคคลธนาคารออมสิน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 13.12% กองทุนส่วนบุคคล United Overseas Bank Limited โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 13.12% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 13.85 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสย้อนหลัง (ไตรมาส 4 ปี 2555 - ไตรมาส 3 ปี 2556) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.195 บาท ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินสำรองตามกฎหมายและเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายและบริษัทกำหนด
ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.gcapital.co.th และที่เว็บไซต์ www.mai.or.th