กรุงเทพฯ--25 ธ.ค.--คอร์แอนด์พีค
สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ สนับสนุนกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมห่วงใยผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น เตือนผู้บริโภคหันมาใส่ใจเลือกซื้อครีมทาผิวในช่วงฤดูหนาวอย่างระมัดระวัง หลังจากมีการตรวจพบครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของสารโคเบตาซอลโพรพิโอเนต (สเตอรอยด์) มีสิทธิ์เป็นอันตรายต่อร่างกาย ผิวหนังเกิดอาการไหม้ แตกลายสีขาว มีรอยแดงรักษาไม่หายและมีแนวโน้มเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง เผยครีมทาผิวแบบแบ่งขายพบส่วนผสมสารสเตียรอยด์ชนิดทาภายนอกที่มีความรุนแรงสูงสุดเพียบ
ผศ.พญ.สุวิรากร โอภาสวงศ์ ประธานประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยเปิดเผยว่า จากกรณีกระแสข่าวจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ออกมาเตือนประชาชนให้ระวังการเลือกซื้อครีมทาผิวแบบแบ่งขายที่พบว่ามีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ชนิดทาภายนอกที่มีความรุนแรงว่า สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ มีความห่วงใยผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นให้หันมาใส่ใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ครีมทาผิว เนื่องจากเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว จะมีผลิตภัณฑ์ครีมทาผิวออกมาจำหน่ายมากมาย หลากหลายยี่ห้อ และมีช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย ซึ่งจากภาวะอากาศที่หนาวเย็นจะทำให้ผิวหนังมีการสูญเสียน้ำออกไปเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในคนที่มีปัญหาผิวแห้งอยู่เดิมอาจทำให้อาการกำเริบจนถึงกับเกิดการอักเสบ แดง คันตามมาได้ หรือบางคนที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบภูมิแพ้หรือโรคสะเก็ดเงิน ช่วงหน้าหนาวนี้โรคมักจะเห่อมากขึ้น
ดังนั้นในช่วงนี้ต้องดูแลผิวเป็นพิเศษ ได้แก่ เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังด้วยสารเพิ่มความชุ่มชื้นซึ่งมีมากมายหลายผลิตภัณฑ์ ให้เลือกมากขึ้น ตามความต้องการของผู้บริโภค เช่น แบบเป็นโลชั่น ครีม หรือ ออยล์ ทั้งนี้การเลือกขึ้นอยู่สภาพผิว ถ้าแห้งมากควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เป็นออยล์มากกว่า แต่จะมีข้อเสียคือเหนอะหนะก็เลือกใช้เป็นครีมได้ สำหรับโลชั่นจะให้ความชุ่มชื้นน้อยที่สุด การเลือกควรที่จะตรวจสอบผลิตภัณฑ์ครีมทาผิวให้ถี่ถ้วนและซื้อเครื่องสำอางที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรืออย.เท่านั้น และตามที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจพบครีมทาผิวแบบแบ่งขายเองที่ไม่มีอย. และมีส่วนผสมของสารโคเบตาซอลโพรพิโอเนต(สเตอรอยด์) ซึ่งเป็นยารักษาโรคผิวหนัง ไม่สามารถใช้เป็นครีมบำรุงผิวได้ สามารถทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายโดยเฉพาะผิวหนังบาง แตกลายสีขาว มีรอยแดง มีลักษณะเหมือนคนอ้วนหรือคนตั้งครรภ์ ทำให้เกิดสิว ขนยาว และดูดซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้ต่อมหมวกไตไม่ทำงาน ซึ่งประชาชนทั่วไป ควรระมัดระวังในการเลือกใช้ครีมทาผิวขาวเหล่านี้
ผศ.พญ.สุวิรากร กล่าวต่อว่า ครีมทาผิวบางชนิด ยังใช้เฉพาะที่ เช่นบริเวณผิวหน้าเท่านั้น ห้ามนำมาทาตัว หรือทาบริเวณทั่วร่างกายห้ามทาบริเวณใบหน้า ดังนั้นการซื้อครีมทาผิว ต้องอ่านฉลากให้ละเอียดเสียก่อนนำมาใช้ทั้งในส่วนที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไป หรือตามเว็บไซต์ต่างๆ หรือการโปรโมทขายตามรายการโทรทัศน์เคเบิ้ลทีวีบางช่อง สื่อเหล่านี้ให้ระวังมักจะมีการโฆษณาเกินจริง บางครั้งครีมทาผิวที่ใช้อาจจะเป็นของเลียนแบบหรือของปลอม หรือมีส่วนผสมของ สารโคเบตาซอล เป็นสเตอรอยด์ ชนิดที่แรงที่สุด เอาไว้รักษาโรคผิวหนังอักเสบที่เป็นเรื้อรัง หรือเป็นผื่นหนา และมีคำเตือนเลยว่าห้ามใช้ติดต่อกันเกิน 4 สัปดาห์ สารนี้จัดเป็นยาและไม่สามารถอยู่ในเครืองสำอางได้ สารชนิดนี้ออกฤทธิ์ที่ผิวหนังถึงชั้นแท้และอาจเป็นผลถาวร ซึ่งผลของมันนอกเหนือจากการไปยับยั้งเม็ดสียังไปรบกวนเรื่องของการสร้างอิลาสอินคอลเจนของผิวหนังแล้ว ยังทำให้เกิดการแตกลายงาของผิวหนังทำให้ผิวบางและเส้นเลือดขยาย ถ้าไปทาที่หน้า หรือบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะจะทำให้เกิดสิวได้ ซึ่งรักษายากกว่าสิวทั่วไปด้วย และเมื่อผิวบางโดนอะไรจะแพ้ง่ายและมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วย
ด้าน นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ อนุกรรมการประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่าในประเทศไทยปัญหาการใช้ครีมหรือขี้ผึ้งสเตียรอยด์พบได้ค่อนข้างบ่อย เพราะยาในกลุ่มนี้ประชาชนสามารถซื้อหาได้เองโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ราคาถูก 10 กรัม 50 บาท มีเป็นร้อยยี่ห้อ ส่วนมากประชาชนมักจะคิดว่าเป็นครีมทาผิวภายนอกไม่ค่อยมีอันตราย ในขณะที่ประเทศเจริญแล้ว เช่น อเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ครีมในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด ประชาชนไม่สามารถซื้อใช้เอง ต้องมีใบสั่งแพทย์ร้านขายยาจึงจะขายให้ เพราะผิดกฎหมาย ครีมสเตียรอยด์มีประโยชน์ คือ แก้แพ้ แก้คัน แก้ผื่นผิวหนังอักเสบ บางคนพอใช้แล้วหน้าเรียบ ก็เลยใช้ต่อเนื่อง ถ้าใช้ช่วงสั้น ๆ ไม่เป็นไร แต่ถ้าใช้นาน ๆ จะติด ไม่ใช้ไม่ได้ และเพิ่มความแรงของยาขึ้นเรื่อย ๆ ตรงนี้เองที่ทำให้เกิดปัญหาหยุดไม่ได้พอหยุดผิวหนังจะอักเสบเห่อขึ้นมา โดยผลข้างเคียงจากการใช้ครีมสเตียรอยด์ แบ่งได้ดังนี้
1. ประเภทเฉียบพลัน ได้แก่ 1.1.การเกิดสิว ครีมกลุ่มนี้ทำให้เกิดสิว โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าและหน้าอก โดยสิวที่เกิดจากสเตียรอยด์ จะแตกต่างจากสิวทั่วไป จะเห็นเป็นสิวในแบบเดียวกันทั้งหมด คือ เป็นตุ่มนูนแดง (ไม่มีหัวหนองหรือไขมันอุดตัน)1.2 รอยโรคเดิมเป็นมากขึ้น พวกนี้ส่วนมากเกิดจากการใช้ยาผิดโรค เช่น เป็นโรคกลากเกลื้อนแล้วใช้ครีมสเตียรอยด์ทาจะทำให้เป็นมากขึ้น 1.3 เกิดผื่นแพ้สัมผัส ซึ่งอาจเกิดการแพ้สารกันบูดหรือน้ำหอมที่ใส่ในครีมสเตียรอยด์ได้ส่วนการแพ้ตัวสเตียรอยด์เองนั้นก้พบได้แต่พบได้น้อย
2. ประเภทเรื้อรัง ได้แก่ ทำให้ผิวหน้าบางลง ออกแดดไม่ได้ เวลาเจอแดดก็จะแสบร้อน หลอดเลือดใต้ผิวหนังเปราะแตกง่าย ขนยาวขึ้นบริเวณทายา เกิดสิวและผื่นอักเสบรอบปาก เกิดภาวะติดยาเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเมืองไทยและรักษายาก ภาวะนี้เกิดจาการใช้ครีมสเตียรอยด์เป็นเวลานาน เวลาหยุดยาแล้วจะแดง หรือโรคผิวหนังอักเสบเดิมจะเป็นมากขึ้น ทำให้หยุดใช้ยาไม่ได้ และต้องใช้ครีมสเตียรอยด์แรงมากขึ้น นอกจากนี้อาจไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ซึ่งมักเกิดจากการใช้ครีมสเตียรอยด์ชนิดแรงเป็นเวลานานโดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ
วิธีการดูแลผิวหน้าหนาวที่ถูกต้อง คือ 1. รักษาความสะอาดผิว โดยสบู่อ่อนอย่าอาบน้ำร้อนจัด 2. หลังอาบน้ำทุกครั้งให้ทาสารให้ความชุ่มชื้น โดยทาหลังจากอาบน้ำทันที 3. ใช้ครีมกันแดดทุกวัน เนื่องจากในหน้าหนาวแสง UV จะมีมากว่าและเมื่อเราไม่รู้สึกร้อนก็จะอยู่กลางแดดนานขึ้น 4. ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน 5.ถ้ามีผื่นคัน ผิวแตก แห้ง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
ดังนั้นผู้บริโภคควรตระหนักในการเลือกใช้เครื่องสำอางที่ได้รับรองจาก อย. เท่านั้น หรือ กรณีไม่มั่นใจก็สามารถตรวจสอบไปที่ อย.หรือ สายด่วนอย.หมายเลขโทรศัพท์ 1556
สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
คุณธนศักย์ อุทิศชลานนท์ (โป้ง)
ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ บริษัทคอร์แอนด์พีค จำกัด
โทรศัพท์ 02-439-4600 ต่อ 8202
Email: tanasaku@corepeak.com