ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าในเอเชีย-แปซิฟิคพุ่งสูงชี้แนวโน้มผู้บริโภคใช้บัตรชำระเงินแทนเงินสด

ข่าวทั่วไป Thursday October 9, 1997 10:14 —ThaiPR.net

กรุงเทพ--8 ต.ค.--วีซ่า
จากสถิติของวีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย-แปซิฟิค พบว่า สิ้นสุดณ วันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมาจำนวนบัตรและยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าเติบโตขึ้นสูงมาก ซึ่งชี้ให้เห็นแนวโน้มการใช้บัตรชำระเงินเข้ามาแทนเงินสดและเช็คในภูมิภาคแห่งนี้
ทั้งนี้ ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่าในเอเชีย-แปซิฟิค สิ้นสุด ณ เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาคิดเป็นมูลค่า 182.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวประกอบด้วยยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่ามูลค่า 130.14 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2539 และยอดทำธุรกรรมต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์ในประเทศจีนมูลค่า 52.73 พันล้านเหรียญสหรัฐ
จำนวนบัตรวีซ่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับปี 2539 หรือคิดเป็นจำนวน 108 ล้านใบ ยอดการทำธุรกรรมผ่านบัตรวีซ่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 39 หรือ 965 ล้านครั้งต่อปี หรืออาจกล่าวได้ว่าจะมีการทำธุรกรรมผ่านบัตรวีซ่า 30 ครั้งต่อวินาทีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค ประเทศญี่ปุ่นเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงสุด คิดเป็นร้อยละ 50 รองลงมาคือประเทศไต้หวันและอินเดียคิดเป็นยอดการเติบโตร้อยละ 45 ต่อปี
สำหรับประเทศไทย จำนวนบัตรวีซ่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ยอดการทำธุรกรรมผ่านบัตรวีซ่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 29 ซึ่งจะเห็นว่าการเติบโตของการทำธุรกรรมผ่านบัตรวีซ่าสูงกว่าสองเท่าของยอดการเติบโตของจำนวนบัตร ตัวเลขดังกล่าวชี้ในเห็นแนวโน้มว่าผู้บริโภคชาวไทยกำลังใช้บัตรวีซ่าแทนเงินสดในการใช้จ่ายประจำวันเพิ่มมากขึ้น
มร. เดนนิส ก้อกกิ้น ประธานบริหารวีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล เอเชีย-แปซิฟิค กล่าวว่า ตัวเลขในเดือนมิถุนายนแสดงให้เห็นการเติบโต อย่างแข็งแกร่งของวีซ่าและการเติบโตของอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน และยังชี้ในเห็นแนวโน้มที่สูงว่าบัตรชำระเงินจะมาแทนที่การใช้เงินสดหรือเช็คในอนาคต
มร. ก้อกกิ้น กล่าวว่า “ยอดการใช้บัตรผ่านวีซ่าในเอเชีย-แปซิฟิค สูงเกือบถึง 200 พันล้านเหรียญสหรัฐนี้เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าวีซ่าเป็นบัตรชำระเงินอันดับหนึ่งในภูมิภาคและทั่วโลก นอกจากนี้ ยอดตัวเลขการเติบโตดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคในภูมิภาคนี้กำลังซื้อสินค้าและบริการด้วยการใช้บัตรชำระเงินแทนเงินสด”
มร. ก้อกกิ้น กล่าวถึงข้อมูลล่าสุดจาก WEFA (Wharton Econometric Forecasting Associates)บริษัทให้คำปรึกษาและข้อมูลด้านเศรษฐกิจระหว่างชาติ ซึ่งข้อมูลของ WEFA แสดงให้เห็นการใช้จ่ายด้านอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ผ่านบัตรวีซ่าสูงขึ้นมาก ทั้งนี้ จากตัวเลขสิ้นสุดณ วันที่ 30 มิถุนายนของปี 2535 ถึงปี 2540 พบว่าวีซ่าได้เพิ่มสัดส่วนโดยรวมของการใช้จ่ายด้านอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลสูงสูงขึ้นเกือบร้อยละ 110
มร. ก้อกกิ้น กล่าวว่า “กล่าวคือ ระหว่างปี 2535 - 2540 ประชาชนใช้จ่ายด้วยบัตรแทนเงินสดและเช็คสูงขึ้นกว่าสองเท่าอย่างไรก็ตามยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าบัตรจะสามารถเข้ามาแทนที่เงินสดได้ทั้งนี้ การใช้จ่ายด้านอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลโดยรวมในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคคิดเป็นมูลค่า 4.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2540 จากตัวเลขดังกล่าวคิดเป็นการใช้จ่ายด้วยเงินสดสูงกว่าร้อยละ 91 การใช้จ่ายด้วยบัตรทุกประเภทเกือบร้อยละ 6 โดยผู้บริโภคใช้จ่ายผ่านบัตรวีซ่ามากที่สุดและการใช้จ่ายด้วยเช็คเพียงร้อยละ 3 ดังนั้นกล่าวได้ว่าวีซ่ามีโอกาสสูงมากในการเข้ามาแทนการใช้จ่ายด้วยเงินสดหรือเช็ค”
“อย่างไรก็ตาม ผมไม่ต้องการกล่าวเกินความเป็นจริงถึงแม้จะมีการใช้เงินสดไปอีกเป็นระยะเวลานาน แต่ตัวเลขการเติบโตของวีซ่าก็เป็นหลักฐานสำคัญที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าผู้บริโภคเห็นความสำคัญของบัตรชำระเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัตรวีซ่า ว่าเป็นวิธีการชำระเงินที่ดีที่สุด”
มร. ก้อกกิ้นกล่าวอีกว่า “ปัจจัยสำคัญคือผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค เป็นผู้มีระดับการศึกษาสูงและเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆตารางการทำงานในแต่ละวันของพวกเขาจะยุ่งมากมีการเดินทางเป็นประจำและต้องการความสะดวกและยืดหยุ่นสูงซึ่งบัตรชำระเงินสามารถมอบให้ได้กลุ่มผู้บริโภคดังกล่าวส่วนมากจะเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินและทราบวิธีการใช้บัตรชำระเงินและวงจรการชำระเงินเพื่อประโยชน์สูงสุดของพวกเขา …ทั้งนี้ รัฐบาลและผู้บริโภคต่างตระหนักถึงบัตรชำระเงิน รวมทั้งบัตรเดบิตและบัตรสะสมมูลค่า (stored value cards) ว่าเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ และยังเป็นเครื่องมือที่ให้ประโยชน์มากกว่าความต้องการเพียงแค่เครดิต รัฐบาลต่างตระหนักถึงมูลค่าของเงินสดเป็นอย่างดี ทั้งนี้ รัฐบาล ร้านค้าและธนาคารเป็นผู้แบกภาระค่าใช้จ่ายด้านกระบวนการพิมพ์ การดำเนินการและการนำออกไปใช้สู่ประชาชน”
วีซ่า ได้ดำเนินงานต่างๆ หลายโครงการซึ่งจะเป็นหนทางนำไปสู่ยุคใหม่ของบัตรชำระเงิน รวมทั้ง การใช้บัตรชิพการ์ดและการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านอินเตอร์เน็ตอย่างปลอดภัย ปัจจุบัน ผู้บริโภคเริ่มทราบว่าบัตรชิพการ์ดเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลังสามารถใช้ประโยชน์ได้มากมายเกินกว่าเป็นเพียงแค่บัตรเอทีเอ็มหรือบัตรชำระเงิน
วีซ่าเป็นระบบการชำระเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกหรือ “วิธีการชำระเงินที่ดีที่สุดในโลก” โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาอำนวยประโยชน์ให้แก่สมาชิกที่เป็นสถาบันการเงินจำนวน 21,000 แห่ง รวมทั้งหน่วยงานธุรกิจ ภาครัฐ รวมไปถึงการร่วมพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของโลก วีซ่าเป็นผู้นำด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ อาทิ บัตรชิพโปรแกรม 65 โครงการทั่วโลก รวมทั้งโครงการวีซ่าแคช 6 ล้านใบ และวีซ่าเป็นผู้บุกเบิกระบบการทำธุรกรรมอิเล็คทรอนิคส์อย่างปลอดภัย หรือ Secure Electronic Transaction — SET ใน 25 ประเทศเพื่อการทำธุรกรรมการค้าอย่างปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ต บัตรวีซ่ากว่า 600 ล้านใบได้รับการยอมรับจากร้านค้าจำนวนกว่า 14 ล้านแห่งทั่วโลก โดยมียอดรายได้คิดเป็นมูลค่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปีนอกจากนี้ วีซ่าเป็นผู้ดำเนินเครือข่ายเอทีเอ็มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนเครื่องเอทีเอ็มกว่า 370,000 เครื่อง
วีซ่ามีข้อมูลโฮมเพจในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต คือ http://www.visa.com รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อเบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์กาญจนาวดี น้อยใจบุญ โทรศัพท์ 252-9871-7.-จบ-.

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ