กรุงเทพฯ--14 ม.ค.--ไอบีเอ็ม
ไอบีเอ็มเผยรายงานประจำปี “IBM 5 in 5” ฉบับล่าสุด ที่เผยแพร่ทั่วโลกติดต่อกันมาเป็นปีที่แปด แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมที่มีแนวโน้มเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตการทำงาน และการติดต่อสื่อสารของเราในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า โดยศึกษาจากแนวโน้มของตลาดและสังคม ประกอบกับความล้ำหน้าของเทคโนโลยีจากห้องปฏิบัติการทั่วโลกของไอบีเอ็มซึ่งส่งผลให้นวัตกรรมเกิดขึ้นและใช้งานได้จริง
นางพรรณสิรี อมาตยกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ไอบีเอ็ม ไฟว์ อิน ไฟว์ ในปีนี้เน้นการศึกษาต่อยอดจากแนวคิดที่ว่าในอนาคตทุกสิ่งจะสามารถเรียนรู้ได้ โดยเราเชื่อว่าขณะนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่ระบบต่างๆมีความสามารถในการเข้าใจ ได้รับการฝึกฝนและสื่อสารกับเราได้ใกล้เคียงกับการสื่อสารของมนุษย์มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเฉพาะเจาะจงถึงระดับปัจเจกบุคคลมากขึ้นด้วย ซึ่งเบื้องหลังความสามารถเหล่านี้ขับเคลื่อนมาจากการผสมผสานของทั้งคลาวด์คอมพิวติ้ง บิ๊กดาต้า การวิเคราะห์ผลขั้นสูง ระบบเพื่อสร้างการเรียนรู้ ตลอดจนระบบความปลอดภัยที่เข้มแข็ง
ในช่วง 5 ปีข้างหน้านี้ ไอบีเอ็มจึงคาดว่านวัตกรรมทั้ง 5 นี้จะมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในระดับปัจเจกบุคคลห้องเรียนจะรู้จักนักเรียน: ในอนาคตอันใกล้นี้ห้องเรียนจะรู้จักนักเรียนแต่ละคนจากข้อมูลประจำตัวต่างๆ เช่น ผลการสอบ การเข้าเรียน และพฤติกรรมการเรียนผ่านอีเลิร์นนิ่ง โดยเมื่อข้อมูลทั้งหลายได้รับการวิเคราะห์เชิงลึก โดยผู้สอนจะสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่านักเรียนคนใดมีปัญหา อะไรคือข้อบกพร่อง รวมไปถึงเสนอหลักสูตรที่เหมาะสมกับเป้าหมายของนักเรียนแต่ละคนตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงเข้าทำงาน ซึ่งขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มเริ่มโครงการแรกร่วมกับโรงเรียน Gwinnett County Public Schools ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 14 ของอเมริกา ในการวิเคราะห์เพื่อออกแบบเนื้อหาและเทคนิคการสอน เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพทางการศึกษาของนักเรียนราว 170,000 คนและเพิ่มอัตราการสำเร็จการศึกษา
การช้อปปิ้งที่ร้านจะกลับมาชนะการช้อปปิ้งออนไลน์: แม้ยอดการช้อปปิ้งออนไลน์จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมา แต่ในอนาคตการช้อปปิ้งตามห้างร้านจะกลับมาคึกคักอีกครั้งโดยอาศัยความรวดเร็วและความใกล้ชิดกับลูกค้าเป็นข้อได้เปรียบ ในอีก 5 ปีข้างหน้าร้านค้าจะใช้เทคโนโลยีที่มีความสามารถในการประมวลผลขั้นสูงจากข้อมูลมหาศาลมาช่วยให้ผู้ขายมีความเชี่ยวชาญในสินค้าทุกชิ้นของร้าน เมื่อประกอบกับข้อมูลพฤติกรรมการซื้อและข้อมูลย้อนหลังต่างๆที่ถูกประมวลขึ้นมาผ่านอุปกรณ์โมบาย ผู้ขายจะรู้จักลูกค้าทันทีเมื่อลูกค้าก้าวเข้ามาในร้านเสมือนนำประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์มาไว้ในที่ซึ่งลูกค้าสามารถจับต้องสินค้าได้ จึงช่วยขยายประสบการณ์การจับจ่ายของลูกค้าและทำให้ร้านค้าสามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคลได้ตรงใจ
หมอจะใช้ดีเอ็นเอของผู้ป่วยในการรักษา: โรคมะเร็งคร่าชีวิตคนทั่วโลกถึงปีละ 8.1 ล้านคน หากการบำบัดรักษาได้รับการออกแบบให้เหมาะสมจากการวิเคราะห์เชิงลึกถึงดีเอ็นเอ ข้อมูลทางพันธุกรรม รวมถึงการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วย จะสร้างความแม่นยำและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษามากยิ่งขึ้น ในอีก 5 ปี ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีบิ๊กดาต้าและการประมวลผลขั้นสูง คลาวด์คอมพิวติ้ง ผนวกกับการศึกษาทางพันธุกรรม จะช่วยให้หมอวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดมะเร็งและออกแบบการรักษาได้เฉพาะเจาะจงต่อผู้ป่วยแต่ละคนทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบคลาวด์-เบสยังจะช่วยให้หมอเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับการรักษาได้อย่างกว้างขวาง
ผู้คุ้มครองดิจิตอลจะปกป้องคุณในโลกออนไลน์: ในปี 2012 รวมผู้เสียหายจากมิจฉาชีพในโลกออนไลน์ในอเมริกาเพียงประเทศเดียวมียอดถึง 12 ล้านคน การรักษาความปลอดภัยในโลกไซเบอร์ที่เราเคยใช้เช่น พาสเวิร์ด โปรแกรมป้องกันไวรัส และไฟร์วอลล์ จึงอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะวิธีดังกล่าวเป็นการป้องกันการคุกคามที่เรารู้จักมันมาก่อนและสามารถหาหนทางในการป้องกันได้แล้ว ในอนาคตเราจะมีผู้คุ้มครองดิจิตอลดูแลแต่ละคนเพื่อลดความเสี่ยงในการท่องโลกออนไลน์ โดยผู้คุ้มครองดิจิตอลนี้จะใช้เรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของเราทุกบริบท แต่ละสถานการณ์ ในทุกอุปกรณ์การเชื่อมต่อ ดังนั้นมันจะรู้ว่ากิจกรรมใดสมเหตุสมผลและอันใดที่ไม่ใช่ จากนั้นมันให้คำแนะนำกับเราได้ว่าควรทำอย่างไรเมื่อเกิดกิจกรรมที่ไม่น่าไว้ใจ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ของไอบีเอ็มใช้เทคโนโลยีที่สามารถเรียนรู้ได้เองนี้ในการเข้าใจพฤติกรรมการเชื่อมต่อสู่โลกออนไลน์จากอุปกรณ์มือถือ เพื่อสืบหาทุกๆความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดจนวิธีในการป้องกันที่ครอบคลุมและสมบูรณ์ต่อไป
เมืองจะตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย: จากการคาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 คน 80 เปอร์เซนต์จะอาศัยในเมืองใหญ่ ในประเทศที่กำลังพัฒนา และในปี 2050 ประชากร 7 ใน 10 คน จะเป็นผู้อยู่อาศัยในเมือง เมืองอันชาญฉลาดในอีก 5 ปีข้างหน้าจะรับรู้เหตุการณ์นับล้านที่เกิดขึ้นในเมืองแบบเรียลไทม์ เข้าใจว่าคนต้องการอะไร ชอบหรือไม่พอใจอะไร รวมถึงพวกเขาใช้เส้นทางกันอย่างไร โดยข้อมูลเหล่านี้ได้มาจากผู้อยู่อาศัยเองจากทั้งอุปกรณ์มือถือและการปฏิสัมพันธ์ในโลกโซเชียลต่างๆ ดังนั้นผู้นำของเมืองจะตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นว่าเมืองต้องการอะไร ที่ไหนและเมื่อไร ทำให้การพัฒนาเมืองสนองตอบความต้องการของผู้คนจริงๆ อีกทั้งยังสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในเมืองและผู้นำอีกด้วย ดังจะเห็นตัวอย่างจากเมืองในหลายๆ ที่ที่ไอบีเอ็มร่วมมือด้วย เช่น เมืองในบราซิลที่ใช้ความสามารถของคราวด์ซอร์สซิ่ง (Crowdsourcing) ที่เปิดโอกาสให้พลเมืองแจ้งปัญหาผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อช่วยเตือนภัยคนพิการถึงความไม่สะดวกในการเดินทางบนท้องถนนของเมือง หรือในประเทศอูกันดา ที่ยูนิเซฟร่วมมือกับไอบีเอ็มเพื่อสร้างเครื่องมือสื่อสารในโซเซียลแพทฟอร์ม เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้สื่อสารกับรัฐบาลและผู้นำชุมชนถึงปัญหาที่ส่งผลกับการดำเนินชีวิตของพวกเขา