ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิต “บล. ไทยพาณิชย์” ระดับ “A+/Stable”

ข่าวทั่วไป Friday June 3, 2005 09:12 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--3 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตองค์กรระดับ “A+” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ให้แก่ บริษัทหลักทรัพย์
ไทยพาณิชย์ จำกัด ซึ่งอันดับเครดิตดังกล่าวอยู่บนพื้นฐานของฐานะความน่าเชื่อถือของบริษัทโดยเฉพาะ โดยบริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจในด้านต่างๆ ได้แก่ ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานวาณิชธนกิจที่แข็งแกร่ง และแหล่งรายได้ที่หลากหลาย นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานทุนและสภาพคล่องที่เข้มแข็งภายหลังจากการเพิ่มทุนในปี 2547 ทั้งนี้ การเป็นบริษัทย่อยหลักของธนาคารไทยพาณิช จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือหุ้นในบริษัท 100% ได้เพิ่มสถานะอันดับเครดิตให้แก่บริษัทด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงของบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ นอกจากนี้ ธุรกิจหลักของบริษัทก็มีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์แห่งอื่น
ในขณะเดียวกัน แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทจากการเป็นบริษัทย่อยหลักแห่งหนึ่งในกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ การสนับสนุนที่เข้มแข็งจากธนาคารไทยพาณิชย์จะช่วยให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังอยู่บนสมมติฐานที่ภาวะตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีแนวโน้มที่ดีในระยะปานกลางแม้จะมีความผันผวนก็ตาม
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. ไทยพาณิชย์เป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ โดยบริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทย่อยหลักของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ของกลุ่มไทยพาณิชย์ในการให้บริการด้านการเงินที่ครบวงจร ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทส่วนหนึ่งจึงมาจากการใช้ทรัพยากรของกลุ่ม โดยบริษัทใช้เครือข่ายสาขาและชื่อร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ และได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินและด้านอื่นๆ จากธนาคารฯ ซึ่งรวมถึงวงเงินสินเชื่อ เงินเพิ่มทุน และฐานลูกค้า บริษัทได้สร้างชื่อเสียงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 2.3% ในปี 2545 เป็น 4.0% ในปี 2547 จากการขยายฐานลูกค้า การปรับปรุงคุณภาพบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ และการเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่การตลาดสำหรับนักลงทุนสถาบัน การมีธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้าสถาบันในสัดส่วนที่มากกว่าบริษัทหลักทรัพย์อื่นโดยส่วนใหญ่จึงมีแนวโน้มที่จะทำให้บริษัทมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้ารายใหญ่มากกว่า บริษัทจะประสบกับการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์แห่งอื่นภายหลังจากการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2550
สำหรับงานด้านวาณิชธนกิจ บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์อันเป็นผลมาจากการมีผลงานในอดีตที่ดีและความสัมพันธ์ของผู้บริหารของบริษัทกับธุรกิจและรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ ในกลางปี 2547 บริษัทได้ขยายธุรกิจสู่กองทุนส่วนบุคคล โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีฐานะการเงินดี นอกจากนี้ บริษัทยังรับรู้รายได้จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 68% จึงทำให้บริษัทมีแหล่งรายได้ที่หลากหลายซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของรายได้ที่อาจเกิดจากการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บล. ไทยพาณิชย์มีสินทรัพย์เพิ่มมากขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจากการขยายธุรกิจ อีกทั้งยังมีสถานะสภาพคล่องที่ดีโดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นแหล่งเงินทุน นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มทุนอีก 3,470 ล้านบาทในปี 2547 เพื่อใช้ขยายธุรกิจใหม่ๆ ส่งผลให้บริษัทมีสภาพคล่องส่วนเกินและมีฐานทุนที่แข็งแกร่ง การมีผลกำไรที่ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2542 ทำให้บริษัทสามารถล้างขาดทุนสะสมได้ในปี 2546 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มสูงขึ้นมากในปี 2547 จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ในแต่ละธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นภายหลังจากการเพิ่มทุน--จบ--

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ