กรุงเทพฯ--10 ก.พ.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป
ทิสโก้ เวลธ์ ชี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดดเด่น หลังบริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 มีผลกำไรรวมออกมาดีกว่าคาด ด้านเอเชียเหนือแกร่ง เศรษฐกิจโตแรง รับอานิสงส์เศรษฐกิจโลกฟื้นหนุนส่งออกโต ปัญหาค่าเงินในตลาดเกิดใหม่กระทบระยะสั้น แนะเพิ่มพอร์ตลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น-เอเชียเหนือ
นายคมศร ประกอบผล นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโส ทิสโก้ เวลธ์ (Mr.Komsorn Prakobphol, Senior Strategist, TISCO Wealth) เปิดเผยว่า TISCO Wealth ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้น และแนะนำให้ใช้การปรับฐานของตลาดหุ้นในรอบนี้เป็นโอกาสเข้าลงทุนในตลาดหุ้น โดยมีคำแนะนำเชิงกลยุทธ์ ดังนี้ 1) แนะนำซื้อตลาดหุ้นญี่ปุ่น 2) แนะนำซื้อสะสมตลาดหุ้นเอเชียเหนือ และ 3) ลดน้ำหนักการลงทุนในทองคำและน้ำมัน
โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น ถือเป็นทางเลือกในการลงทุนอันดับต้น ๆ ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนในขณะนี้ เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เริ่มเห็นผลมากขึ้น และล่าสุดบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น Nikkei ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 แล้ว 98 บริษัท (ของปีปฏิทิน) โดยผลกำไรรวมออกมาดีกว่าคาด 15.26% และมีบริษัทที่ผลประกอบการดีกว่าคาดถึง 65 จาก 98 บริษัท ขณะที่ตลาดคาดการณ์การเติบโตของผลประกอบของปี 2556 จะอยู่ที่ 60%
ด้านตลาดหุ้นเอเชียเหนือ ซึ่งประกอบด้วย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ มีความน่าสนใจลงทุนไม่แพ้กัน แม้จะมีความกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ ที่ทำให้ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ ถูกเทขายอย่างหนักเพื่อลดความเสี่ยงก็ตาม โดย TISCO Wealth มองว่า ตลาดหุ้นเอเชียเหนือจะได้ผลกระทบเพียงระยะสั้น เนื่องจากประเทศในกลุ่มดังกล่าวมีอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ และดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยจำกัดความเสี่ยงจากการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ ดังจะเห็นได้จากความเคลื่อนไหวของค่าเงินเอเชียเหนือ เช่น เงินวอนของเกาหลีใต้ และดอลลาร์ไต้หวัน ในช่วงเดือน พ.ค. ถึงเดือน ส.ค. ในปีที่แล้ว ที่ตลาดมีความกังวลต่อการชะลอ QE ในครั้งแรก ค่าเงินของประเทศเหล่านี้ที่อ่อนค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ขณะที่กลุ่มประเทศเกิดใหม่อย่างตุรกี ละตินอเมริกา และเอเชียใต้ จะได้รับผลกระทบมากกว่า เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่ประสบปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่นั่นเอง นอกจากนี้ประเทศในกลุ่มเอเชียเหนือยังนับว่าเป็นประเทศส่งออกสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเครื่องจักรและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะเป็นที่ต้องการอย่างมากในช่วงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว และค่าเงินที่มีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะสามารถกระตุ้นยอดส่งออกไปยังสหรัฐฯ และยุโรปอีกด้วย
ส่วนมุมมองการลงทุนในทองคำและน้ำมัน ยังคงแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนลง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยที่จะสนับสนุนให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นในระยะยาว โดยราคาทองคำที่เริ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นบ้างนั้น แต่มองว่าเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนโยกย้ายเงินลงทุนระยะสั้นเพื่อลดความเสี่ยง ดังนั้นในช่วงจังหวะที่ราคาขยับขึ้นมาบ้าง จึงแนะนำให้ขายออก
“ เรายังคงแนะนำให้ใช้การปรับฐานของตลาดหุ้นในรอบนี้เพื่อเข้าลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดยเราเชื่อว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะสามารถคงทิศทางการขยายตัวของผลประกอบการได้ในระดับที่ดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และคาดว่าค่าเงินเยนจะกลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางการอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จากประเด็นการชะลอ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รวมถึงตลาดหุ้นเอเชียเหนือ นำโดยจีนซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่ง และความกังวลเกี่ยวกับหนี้เสียหรือปัญหาฟองสบู่ได้ถูกสะท้อนไปใน valuation มากแล้ว ทำให้แนวโน้มที่ดัชนีจะฟื้นตัวมีเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การส่งออกของประเทศเกาหลีใต้ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจโลกยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ตลาดเอเชียเหนือโดดเด่นขึ้นมา ขณะที่ไต้หวันจะได้รับอานิสงส์จากการเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ของบริษัทแอปเปิ้ล (Apple) ในการผลิตไอโฟนรุ่นใหม่ ” นายคมศร กล่าว