กรุงเทพฯ--17 ก.พ.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์
ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) จัดแคมเปญ “คนไทยยุควาเลนธรรม ไม่เสียเวอร์จิ้น ไม่สิ้นคุณธรรม”มุ่งรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่หันมามอบความรักแก่กันอย่างบริสุทธิ์ใจ เนื่องในวันมาฆบูชาและวันวาเลนไทน์ ที่ได้เวียนมาบรรจบพร้อมกันอีกครั้งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 หลังจากที่วันสำคัญทั้งสองวันนี้ เคยตรงกับวันเดียวกันมาแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2538 โดยการจัดกิจกรรมครั้งนี้ มุ่งเน้นแนวคิดในการมอบความรัก 4 มิติ คือ รักครอบครัว รักคู่ครอง รักสังคม และรักตัวเอง ซึ่งได้มีการนำความรักทุกมิติที่กล่าวถึงมาสื่อสารอย่างเป็นรูปธรรมผ่านกิจกรรม 5 รูปแบบ ที่สามารถทำได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ได้แก่ กิจกรรมบอกรักผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คในยามเช้า กิจกรรมมอบของขวัญแทนใจให้ผู้มีพระคุณในยามสาย กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมในยามบ่าย กิจกรรมพาคู่รักเวียนเทียนในยามเย็น และกิจกรรมนั่งสมาธิสงบใจในยามค่ำ ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้ ถือเป็นกิจกรรมที่ทั้งคนโสดและคนมีคู่สามารถนำไปปฏิบัติได้ เพื่อเติมเต็มความรักความอบอุ่นแก่ตนเองและคนรอบข้างไปพร้อมกัน
นอกจากนี้ ศูนย์คุณธรรมยังมุ่งส่งเสริมให้วัยรุ่นหันมาแสดงความรักต่อกันในรูปแบบสร้างสรรค์ และอยู่บนพื้นฐานของประเพณีอันดีงาม เนื่องจากปัจจุบันพบว่า มีวัยรุ่นไทยจำนวนมาก ยึดถือวันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งการแสดงความรักโดยการมีเพศสัมพันธ์ถึงร้อยละ 83 เป็นที่มาของปัญหาสังคมด้านต่าง ๆ อาทิ ปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม ซึ่งจากการสำรวจ พบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่พบหญิงตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมมากถึงร้อยละ 70 ของจำนวนผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ก่อนแต่งงานทั้งหมด และติดอันดับ 2 ของภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งแนวโน้มด้านอายุของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ยังลดลงเรื่อย ๆ โดยอายุที่พบต่ำสุดในขณะนี้คือ 8 ปีเท่านั้น อีกทั้งยังพบปัญหาการหย่าร้างที่มีแนวโน้มสูงกว่าอัตราการสมรสทุกปี โดยสถิติจากสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สำรวจข้อมูลในรอบ 10 ปี (พ.ศ. 2545 – 2554) พบว่า คนไทยมีสถิติการสมรสเฉลี่ยวันละ 876 คู่ ขณะที่มีการหย่าร้างวันละ 275 คู่ ซึ่งเป็นปัญหาด้านความรักอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีต้นเหตุมาจากการขาดความเข้าใจในเรื่องคุณธรรมของความรัก ทั้งนี้ ศูนย์คุณธรรม ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งเสริมส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในสังคมไทยจึงพร้อมเป็นสื่อกลางในการปลูกฝังค่านิยมอันดีงามแก่วัยรุ่นไทย ให้เข้าใจถึงอีกมุมมองหนึ่งในการฉลองเทศกาลแห่งความรัก ที่เป็นผลดีต่อตนเอง สังคม และคนรอบข้าง เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้กับเยาวชนและวัยรุ่นไทย ซึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต
นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กล่าวถึงการจัดแคมเปญรณรงค์ “คนไทยยุควาเลนธรรม...ไม่เสียเวอร์จิ้น ไม่สิ้นคุณธรรม” ในครั้งนี้ว่า วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 นี้ เป็นโอกาสดีที่วันวาเลนไทน์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก และวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ได้เวียนมาบรรจบในวันเดียวกันพอดี จึงต้องการให้คนไทยยุคใหม่ ตระหนักถึงวิธีการแสดงความรักต่อกันอย่างจริงใจ และร่วมกันทำความดี เพื่อให้จิตใจผ่องใสบริสุทธิ์พร้อมกันไปด้วย ซึ่งนับเป็นการสะท้อนมุมมองใหม่ในการฉลองเทศกาลแห่งความรัก ที่ไม่ได้เป็นเพียงเทศกาลของคู่รักเท่านั้น แต่ยังมีความรักในมิติอื่น ๆ ที่หลายคนอาจมองข้ามไป จึงเป็นที่มาของแนวคิดในการมอบความรักแบบ 4 มิติ ได้แก่ รักครอบครัว รักคู่ครอง รักสังคม และรักตนเอง โดยการสื่อสารแนวคิดของความรักทั้ง 4 มิติ ผ่าน 5 กิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมให้ทุกคนตระหนักถึงคุณค่าของความรักที่แท้จริง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทั้งคนโสดและคนมีคู่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ดังนี้
1. กิจกรรมช่วงเช้า :บอกรักผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คปัจจุบันสื่อโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลกับคนไทยเกือบทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะเป็น ไลน์ (Line) เฟซบุ๊ค (Facebook) อินสตาแกรม (Instagram) ทวิตเตอร์ (Twitter) เราจึงสามารถนำสื่อที่มีอยู่ใกล้ตัวมาใช้ในการส่งต่อข้อความดี ๆ ไปถึงคนที่เรารักได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ พี่น้อง คนรัก หรือเพื่อน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ง่าย และประหยัด แต่ช่วยมอบความรู้สึกดี ๆ ให้กับผู้รับได้เป็นอย่างดี และยังทำให้เกิดการแบ่งปันหรือแชร์ (Share) สิ่งดี ๆ ต่อผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 นี้ ทางศูนย์คุณธรรมได้มีการจัดทำเนื้อหา (Content) รูปแบบพิเศษบนสื่อโซเชียลมีเดีย ต้อนรับวันวาเลนไทน์ และมาฆบูชา ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถคัดเลือกและบันทึกหรือเซฟ (save) ข้อความที่ชื่นชอบ เพื่อนำไปส่งต่อให้กับคนที่คุณรักได้โดยเข้าไปที่โซเชียลมีเดียของศูนย์คุณธรรมทั้ง 3 ช่องทาง ได้แก่ เฟซบุ๊ค (www.facebook.com/MoralCenter) อินสตาแกรม (khunnathamma) และ twitter (@khunnathamma)
2. กิจกรรมช่วงสาย :มอบของขวัญแทนใจให้ผู้มีพระคุณ สะท้อนความรักในมิติของการรักครอบครัว อันประกอบด้วยการมอบความรักให้กับพ่อแม่พี่น้อง ญาติมิตร หรือผู้มีพระคุณ ซึ่งความรักมิตินี้ ถือเป็นความรักรูปแบบที่ทุกคนต่างพึงมี เพราะสถาบันครอบครัวถือเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดโดยของขวัญที่สามารถนำมามอบให้แก่กัน ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป อาจเป็นการกอด หรือกราบพ่อแม่ ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมคุณธรรมด้านความกตัญญูไปในตัว รวมไปถึงการมอบพวงมาลัยแด่ผู้มีพระคุณ อันเป็นสัญลักษณ์ของความเคารพและศรัทธา และยังมีความเชื่อว่า ดอกไม้แต่ละชนิดที่นำมาร้อยมาลัยล้วนมีความหมายที่ดี ซึ่งผู้ให้และผู้รับก็จะได้รับสิ่งดี ๆ เหล่านั้นกลับคืนมาด้วย เช่น ดอกมะลิ หมายถึง ความร่มเย็นเป็นสุข ดอกพุด หมายถึง สิ่งที่บริสุทธิ์ ดอกบานไม่รู้โรย หมายถึง ความรักที่ไม่ร่วงโรย ดอกกุหลาบแดง หมายถึง ความรักที่สดชื่น และดอกดาวเรือง หมายถึง ความเจริญรุ่งเรือง เป็นต้น
3. กิจกรรมยามบ่าย :บำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมสะท้อนมิติของการรักสังคม หมายถึงการทำความดีตอบแทนสังคมและประเทศชาติ รวมไปถึงการทำหน้าที่ของตนในการเป็นพลเมืองดีคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้งโดยผ่านการทำกิจกรรมสาธารณกุศลรูปแบบต่าง ๆ เช่น การบริจาคสิ่งของให้เด็กกำพร้า การบริจาคเลือด การเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาต่าง ๆ เป็นต้นซึ่งเป็นการทำบุญกุศลเนื่องในโอกาสวันมาฆบูชารูปแบบหนึ่งด้วย โดยสถานที่ที่คนนิยมเดินทางไปทำสาธารณกุศลกันมาก ได้แก่ มูลนิธิกระจกเงา (มูลนิธิช่วยเหลือสังคม และช่วยเหลือผู้ยากไร้) สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนทั่วประเทศ โรงพยาบาลสงฆ์ มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง (มูลนิธิสำหรับเด็กที่ป่วยเป็นมะเร็ง) และวัดพระบาทน้ำพุ (สถานที่ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเอชไอวี) เป็นต้น
4. กิจกรรมยามเย็น :พาคู่รักเวียนเทียน ความรักของคนรุ่นใหม่ มักจะหมายถึงการให้วัตถุสิ่งของ เช่น ดอกไม้ ของขวัญ รวมทั้งการมอบความรักต่อกันในเชิงของการมีความสัมพันธ์ทางกาย โดยอาจหลงลืมไปว่า ความหมายที่แท้จริงของความรัก คือการมอบความปรารถนาดีต่อกันด้วยจิตใจบริสุทธิ์โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ซึ่งคำว่า ความ
ปรารถนาดีในที่นี้ คือการชักชวนกันสร้างจิตใจที่สงบ โดยอาจเปลี่ยนจากการซื้อดอกกุหลาบให้คนรักเป็นการซื้อดอกไม้ธูปเทียนและจูงมือกันไปเวียนเทียนที่วัดก็นับเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ต่างฝ่ายต่างได้มอบความสุขทางใจให้แก่กัน และได้สร้างกุศลร่วมกันด้วยส่วนช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเวียนเทียนนั้น สามารถทำได้ทุกเวลา แต่ช่วงเวลาที่คนนิยมเวียนเทียนมากที่สุดคือช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดิน เพราะถือเป็นเวลาที่ทุกคนทำกิจกรรมหรือธุระต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นช่วงเวลาที่สะดวกที่สุดในการเวียนเทียนและการเวียนเทียนในช่วงเวลานี้ ยังเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของแสงสว่างที่ช่วยนำทางชีวิต
5. กิจกรรมยามค่ำ :นั่งสมาธิ สร้างสติ ใจเป็นสุข หลังจากมอบความรักให้ผู้อื่น สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือการมอบความรักแก่ตนเอง ซึ่งคำว่ารักตนเอง ไม่ได้หมายถึงการเห็นแก่ตัวเอง หรือยึดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่เป็นการตั้งตนอยู่บนทางแห่งความดีงาม ด้วยการรักษาความบริสุทธิ์ทางกาย วาจา ใจ ซึ่งกิจกรรมหนึ่งที่เราสามารถนำไปปฏิบัติได้คือ การนั่งสมาธิ โดยมีผลวิจัยบอกว่า การนั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 30 นาที มีส่วนช่วยพัฒนาเซลล์สมอง และช่วยขจัดอารมณ์ด้านลบออกไปได้ จึงเป็นวิธีหนึ่งในการบริหารจิตใจที่ทั้งคนโสดหรือคนมีคู่สามารถทำได้เช่นเดียวกันโดยแบ่งออกเป็นวิธีการสำหรับคนไทยในศาสนาต่าง ๆ ได้แก่
- พุทธศาสนิกชน วิธีที่ง่ายที่สุดคือการนั่งสมาธิที่บ้าน และกล่าวคำภาวนาด้วยบทสวดแผ่เมตตาให้ตัวเองที่ว่า “อหํสุขิโต โหมิ นิทฺทุกฺโข อเวโร อพฺยาปชฺโฌอนีโฆ สุขี อตฺตานํ ปริหรามิ ฯ” หมายถึง ขอข้าพเจ้าจงถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความคับแค้นใจ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด ฯ
- คริสต์ศาสนิกชนจุดประสงค์ที่สำคัญในการทำสมาธิของศาสนาคริสต์ แตกต่างจากศาสนาพุทธ คือเป็นการทำสมาธิเพื่อให้จิตใจได้สัมผัสกับพระเยซู โดยการอยู่ท่ามกลางความสงบเงียบ และปล่อยวางจากความโกรธ ความทุกข์ไม่คิดถึงสิ่งใด ๆ นอกจากพระเจ้า ภายใต้ความเชื่อว่า การทำสมาธิจะทำให้จิตใจได้สัมผัสกับความสงบสันติ รู้จักตัวเอง และรู้จักพระเจ้ามากขึ้น
- ชาวมุสลิมศาสนาอิสลามไม่มีพิธีกรรมในการฝึกสมาธิแบบชาวพุทธ แต่ควบรวมอยู่ในการทำพิธีละหมาด ซึ่งถือเป็นหน้าที่ที่ชาวมุสลิมต้องพึงกระทำเป็นประจำทุกวัน โดยการทำจิตใจสงบขณะที่ละหมาดเพื่อระลึกถึงพระเจ้า และขอความเมตตาจากพระองค์ ซึ่งโดยปกติแล้ว ชาวมุสลิม ต้องทำละหมาดวันละ 5 เวลาอยู่แล้ว ได้แก่ เวลาย่ำรุ่ง เวลากลางวัน เวลาเย็น เวลาพลบค่ำ เวลากลางคืน โดยการทำละหมาด มีส่วนช่วยชำระล้างจิตใจให้สงบบริสุทธิ์อยู่สม่ำเสมอ
นางฉวีรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จุดมุ่งหมายของแคมเปญ “คนไทยยุควาเลนธรรม ไม่เสียเวอร์จิ้น ไม่สิ้นคุณธรรม” ยังมุ่งเน้นการสร้างค่านิยมที่ดีงามในการแสดงความรักให้กับกลุ่มวัยรุ่นไทย ซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงโดยมีผลสำรวจจากศูนย์การเฝ้าระวังและเตือนภัยทางสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคม ฯ ในปี พ.ศ. 2554 ที่ระบุว่า วัยรุ่นไทยมีการวางแผนจะมีเพศสัมพันธ์ในวันวาเลนไทน์กว่าร้อยละ 83 โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มนักศึกษาถึงร้อยละ 54.9 และกลุ่มนักเรียนถึงร้อยละ 27.8รวมทั้ง มีข้อมูลจากการสำรวจสภาวะสังคม และวัฒนธรรมของครัวเรือน สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าวัยรุ่นหญิงอายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มในการยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรหรือก่อนแต่งงานเพิ่มขึ้นราว ๆ ร้อยละ 25 ภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ซึ่งวัยรุ่นบางกลุ่มยังขาดความเข้าใจในการใช้ชีวิตคู่ และยังขาดวุฒิภาวะในการเลี้ยงดูบุตร จึงก่อให้เกิดปัญหาทางด้านคุณธรรมในรูปแบบต่าง ๆ ตามมา อาทิ การตั้งครรภ์ในวัยที่ยังไม่พร้อม ซึ่งเป็นต้นเหตุของการทำแท้ง หรือการทอดทิ้งบุตรให้เป็นเด็กกำพร้า ซึ่งนับเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนาน ทั้งนี้ จึงถึงเวลาแล้วที่ศูนย์คุณธรรม รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ควรร่วมกันปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีในการมีความรักโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณธรรม หรือเรียกได้ว่าเป็นความรักที่เกิดจากความปรารถนาดีต่อกัน ซึ่งหากวัยรุ่นตระหนักถึงหลักคุณธรรมในข้อนี้ ก็จะช่วยผลักดันให้ค่านิยมในการมีเพศสัมพันธ์โดยขาดความยั้งคิดลดลง และช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ในสังคมไทยได้ในระยะยาว นางฉวีรัตน์กล่าวสรุป