กรุงเทพ--22 ม.ค.--ปตท.
เป็นการทยอยปรับ โดย ปตท.ยังคงแบกรับภาระต้นทุนไว้ เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม ศกนี้ เป็นต้นไป
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ปตท.น้ำมัน การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท.ได้ปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 15-30 สตางค์/ลิตร โดยน้ำมันดีเซลปรับขึ้น 15 สตางค์/ลิตร และกลุ่มน้ำมันเบนซินปรับขึ้น 30 สตางค์/ลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม ศกนี้ เป็นต้นไป ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในเขต กทม.และปริมณฑล เป็นดังนี้
หน่วย:บาท/ลิตร
เบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว 13.12
เบนซินพิเศษสูตรทดแทนสารตะกั่ว 13.20
เบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่ว 12.73
ดีเซลหมุนเร็ว 11.51
การปรับราคาในครั้งนี้อยู่บนพื้นฐานอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 52.50 บาท/เหรียญสหรัฐ และผลกระทบจากปัจจัยหลัก คือราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ได้ปรับตัวสูงขึ้น กล่าวคือ น้ำมันเบนซิน ปรับตัวสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 20 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นประมาณ 21.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (หรือสูงขึ้น 50 สตางค์/ลิตร) และน้ำมันดีเซลปรับตัวสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 17 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นประมาณ 18.50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (หรือสูงขึ้น 50 สตางค์/ลิตร) ส่งผลให้ต้นทุนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลสูงขึ้น ชนิดละประมาณ 50 สตางค์/ลิตร (ซึ่งการปรับราคาในครั้งนี้ยังคงต่ำกว่าต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดย ปตท.ต้องแบกรับภาระไว้ส่วนหนึ่ง)
ผู้จัดการใหญ่ ปตท.น้ำมัน กล่าวต่อไปว่า ด้วยสาเหตุดังกล่าว ปตท. จึงมีความจำเป็นต้องทยอยปรับราคาน้ำมัน ทั้งนี้ ปตท.ยังคงรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไว้บางส่วน ซึ่งเมื่อนับจากวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน ปตท.ได้แบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นประมาณ 1,000 ล้านบาท
นายประเสริฐ กล่าวในตอนท้ายว่า ปตท.ในฐานะองค์กรน้ำมันของรัฐ จะติดตามแนวโน้มและต้นทุนของราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่มีผลต่อราคาน้ำมัน และกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก ปตท. จะพยายามตรึงราคาไว้ โดยจะทยอยปรับราคาเพิ่มขึ้นตามความจำเป็นและสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้นจริงเท่านั้น เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบน้อยที่สุด--จบ--