กรุงเทพฯ--24 ก.พ.--ทียูเอฟ
ทียูเอฟ ประกาศผลประกอบการไตรมาสสี่ ปี 2556 ยอดขายทั้งรูปเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 13% และยอดขายเงินบาทเติบโตขึ้น 17% สามารถกลับมาสร้างสถิติอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง และการบริหารจัดการที่รัดกุม
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ทียูเอฟ ผู้นำและเชี่ยวชาญด้านอาหารทะเล และเจ้าของแบรนด์ชั้นนำระดับโลก กล่าวถึง ผลการดำเนินงานในไตรมาสสี่ ปี 2556 บริษัทฯ สามารถทำยอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 969 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้น 13% เมื่อเทียบกับไตรมาสสี่ ปี 2555 ที่มียอดขาย 861 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ยอดขายในรูปเงินบาทก็เติบโต 17% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยในปีนี้สามารถทำได้ 30,788 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสสี่ของปีก่อนที่ทำได้ 26,309 ล้านบาท
และเมื่อพิจารณาภาพรวมผลการดำเนินตลอดทั้งปี 2556 บริษัทฯ มียอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐทั้งปีเท่ากับ 3,663 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปี 2555 และมียอดขายในรูปเงินบาทเท่ากับ 112,813 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 6% เช่นเดียวกันจากปีก่อน
ทั้งนี้นายธีรพงศ์ กล่าวต่อว่า ปีนี้แม้ว่าจะเป็นปีที่ท้าทายมากสำหรับอุตสาหกรรมอาหารทะเลส่งออก ซึ่งสาเหตุหลักมาจากปัจจัยด้านวัตถุดิบกุ้งและปลาทูน่า แต่ในช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น รวมถึงผลจากการบริหารจัดการที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพทั้งด้านการผลิต และด้านต้นทุน ชี้ให้เห็นว่าการปรับกลยุทธ์ในการบริหารเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาสสี่ดีต่อเนื่องจากไตรมาสสาม ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาผลงานตลอดทั้งปีจะเห็นว่า ธุรกิจเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากตัวเลขยอดขายทั้งรูปเงินเหรียญสหรัฐและเงินบาทที่เติบโตขึ้น 8% และ 15% ตามลำดับ และกำไรสุทธิในครึ่งปีหลังที่เติบโตถึง 76% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก โดยทำกำไรสุทธิในครึ่งปีหลังได้ 1,819 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกเท่ากับ 1,033 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ ในปี 2556 แบ่งตามผลิตภัณฑ์หลัก 6 กลุ่มธุรกิจ กลุ่มธุรกิจปลาทูน่า มีสัดส่วนรายได้เท่ากับ 47% กลุ่มธุรกิจกุ้งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกุ้ง 25% กลุ่มธุรกิจปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรล 6% กลุ่มธุรกิจปลาแซลมอน 4% กลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 7% และกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและผลิตภัณฑ์อื่นๆ 11%
ขณะที่สัดส่วนรายได้ของบริษัทโดยแบ่งตามตลาดมีดังนี้ สหรัฐอเมริกา มีสัดส่วน 42% สหภาพยุโรป 30% ขายในประเทศ 7% ญี่ปุ่น 7% และประเทศอื่นๆ 14%
พร้อมกันนี้นายธีรพงศ์ยังชี้ให้เห็นว่า การปรับกลยุทธ์ในการบริหารของบริษัทฯ ตั้งแต่ในไตรมาสสามอย่างรัดกุมและดำเนินการต่อเนื่องในไตรมาสสี่ ส่งผลให้ธุรกิจกุ้งเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน เห็นได้จากอัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งปีหลังที่ทำได้ถึงระดับ 11.4% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่อัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 5.2% ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อธุรกิจนี้
และล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงาน 6 เดือนหลัง (เดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2556) ในอัตราหุ้นละ 0.89 บาท โดยเงินจะแบ่งเป็นส่วนที่ได้รับยกเว้นภาษีเนื่องจากได้รับสิทธิยกเว้นทางภาษีจากการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 0.27 บาท และส่วนที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายร้อยละ 10 จำนวน 0.62 บาท ซึ่งมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 18 เมษายน 2557 นี้