กรุงเทพฯ--26 ก.พ.--Mask Media
สำหรับคู่รักหลายๆ คู่ ที่กำลังเริ่มจะสร้างครอบครัวด้วยการแต่งงาน อาจกำลังคิดถึงการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การจัดสถานที่, พิมพ์การ์ดแต่งงาน, เชิญเขก หรือแม้กระทั้งการหาชุดแต่งงาน แต่อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือ การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน เพราะการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานนั้นเป็นเปรียบเสมือนประตูด่านแรกที่จะการสกัดกั้นการส่งผ่านโรคสู่คนที่คุณรัก คุณจึงไม่ควรละเลยเรื่องนี้เป็นอันขาด แม้ว่าคุณหรือคู่รักของคุณจะไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคก็ตาม เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาที่จะตามมาภายหลัง เราจึงควรตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจ แถมยังช่วยป้องกันการเกิดโรคที่จะติดต่อไปยังลูกน้อยของคุณในอนาคตอีกด้วย เรามาดูกันดีกว่าว่า การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานนั้นจะต้องตรวจอะไรกันบ้าง
นพ. พิเชฐ ผนึกทอง สูตินรีแพทย์โรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่าสำหรับคู่รักหลายคู่ที่กำลังมองหาของขวัญให้กับคนที่คุณรัก อาจเริ่มต้นด้วยการมอบสุขภาพที่ดีตอบแทนความรักความห่วงใยเติมเต็มความรักซึ่งกันและกัน ด้วยการให้ความสำคัญกับการ “ตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน” เพื่อให้การมีชีวิตคู่ของคุณเป็นไปด้วยความพร้อมที่จะเริ่มต้นครอบครัวใหม่ การตรวจสุขภาพมีโปรแกรมการตรวจอาทิ การตรวจร่างกายโดยสูตินรีแพทย์อย่างละเอียด (Physical Examination by OB-GYN) ตรวจหมู่เลือดและความเข้ากันได้ของเลือด ( ABO and Rh Grouping) ให้ทราบหมู่เลือด ABO และ หมู่เลือด Rh+ ซึ่งพบได้บ่อยคนไทย แต่บางคนอาจมีหมู่เลือด Rh- ซึ่งหาได้ยาก ต้องมีการสำรองเลือดเพื่อความปลอดภัย และหมู่เลือด Rh – จะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 ทำให้ให้เสี่ยงต่อการแท้งบุตรสูง ตรวจหาความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เป็นการหาความเข้มของเลือดซึ่งในสตรีไทยพบว่าการทานอาหารแบบเร่งด่วนในปัจจุบันส่งผลให้ภาวะซีดสูงขึ้น ซึ่งควรเพิ่มความเข้มของเลือดโดยการทานธาตุเหล็กบำรุงก่อนตั้งครรภ์เพื่อพัฒนาการที่ดีของบุตรในครรภ์ และทราบถึงความปริมาณเกล็ดเลือด ซึ่งส่งผลต่อห้ามเลือดตอนคลอดบุตร ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี และภูมิคุ้มกัน (HBs Ag and anti-HBs) เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันและเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือสายเลือด จึงอาจส่งผลต่อการมีลูกในอนาคตได้ ตรวจหาความเสี่ยงโรงธาลัสซิเมีย (Hemoglobin Typing) เป็นการตรวจความผิดปกติทางพันธุกรรม เพื่อให้ทราบว่าคู่สมรสนั้น มีความเสี่ยงที่จะมีบุตรเป็นโรคธาลัสซีเมียหรือไม่ และจะมีทางเลือกอย่างไรบ้างในการมีบุตร และหาแนวทางในการป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ ตรวจหาเชื้อเอดส์ (Anti HIV) เพื่อเป็นการตรวจหาเชื้อจะได้มีการป้องกันการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ด้วยวิธีการใส่ถุงยางอนามัย และวางแผนลดการติดเชื้อไปสู่บุตรได้ ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน (Rubella for immune status) เป็นการตรวจเพื่อค้นหาโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสหัดเยอรมันในสตรี ซึ่งผลการตรวจพบว่าไม่มีภูมิคุ้มกัน ควรฉีดวัคซีนและคุมกำเนิดอย่างน้อย 3 เดือน เนื่องจากติดเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์อาจมีโอกาสที่ทารกจะพิการหรือแท้งสูง เป็นต้น
ในเดือนแห่งความรักนี้ โรงพยาบาลปิยะเวท ได้จัดโปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับคู่รัก เพื่อเติมเต็มความหวานให้กับชีวิตคู่ของคุณในราคาเบาๆ สำหรับโปรแกรมตรวจสุขภาพคุณผู้ชาย อัตรา 2,400 บาท และคุณผู้หญิง อัตรา 2,800 บาท เพิ่มความหวานเมื่อซื้อชุดตรวจสุขภาพหัวใจในเดือนแห่งรัก สำหรับใครที่กำลังหาของขวัญเก๋ๆ ไว้เซอร์ไพรส์ การมอบ Gift Voucher สุขภาพ ก็เก๋ไปอีกแบบ เริ่ม 1- 28 กุมภาพันธ์ 2557 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.piyavate.com หรือ Call Center โทร 02-625-6555