กรุงเทพฯ--27 ก.พ.--IR network
“น้ำตาลครบุรี” หรือ KBS โชว์ผลการดำเนินงานปี 56 มีรายได้รวม 5,972 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 501 ล้านบาท แม้ภาวะราคาน้ำตาลตลาดโลกจะอยู่ในช่วงที่เป็นขาลงตลอดปี 2556 ด้านบอร์ดใจป้ำอนุมัติจ่ายปันผลหุ้นละ0.50 บาท “ทัศน์ วนากรกุล” เผยกลยุทธ์ปี 57 จะเดินหน้าทั้งแผนระยะสั้น กลาง ยาว มุ่งเน้นสร้างความมั่นคงด้านวัตุดิบ ทั้งขยายพื้นที่เพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนให้เกษตรกร พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และตลาดใหม่ รวมทั้งรุกสู่ธุรกิจด้านพลังงานเต็มพิกัดวางเป้ารายได้ปีนี้แตะ 6,500 ล้านบาท โดยโรงไฟฟ้าชีวมวล 35 เมกะวัตต์ เริ่มขายไฟให้กับ กฟผ. เดือนเมษายนนี้ คาดสร้างกำไรปีนี้ประมาณ 120 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทกำลังศึกษาโครงการขยายธุรกิจ 3 โครงการเพื่อวางโครงสร้างการเติบโต 3 ปีของบริษัท
นายทัศน์ วนากรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2557 ว่า จะมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงของวัตถุดิบ คืออ้อย โดยมีกลยุทธ์ในการส่งเสริมชาวไร่อ้อยที่มีศักยภาพให้ขยายพื้นที่ปลูกอ้อย รวมทั้งชักชวนให้เกษตรกรที่ปลูกพืชอื่นมาปลูกอ้อยเพราะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า โดยบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะขยายพื้นที่ปลูกอ้อยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 ต่อปี เป้าหมายนี้มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูง เพราะทางภาครัฐเองก็มีนโยบายส่งเสริมให้ชาวนาเปลี่ยนจากการทำนาดอนนอกเขตชลประทานมาปลูกอ้อย พื้นที่จองปลูกอ้อยในฤดูปลายฝนของบริษัทก็มีแนวโน้มสูงขึ้นมาก นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และลดต้นทุนชาวไร่ โดยส่งเสริมปัจจัยการเพาะปลูก วิชาการเพาะปลูก และจัดหาเครื่องจักรกลเกษตร ทั้งรถไถ รถตัดอ้อย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชาวไร่ตลอดปี ด้านการขายและการตลาด บริษัทฯ มุ่งเน้นให้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ในส่วนของการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับกลุ่มมิตซุย ได้ร่วมกันพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และขยายกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ เพื่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด
“การพัฒนาเรื่องความมั่นคงของวัตถุดิบ ทั้งการขยายพื้นที่ เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนของชาวไร่ และคุณภาพอ้อย เป็นเรื่องที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นหัวใจของธุรกิจนี้ ฝ่ายขายและการตลาดเอง ก็มีเป้าหมายที่จะต้องคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มสร้างมูลค่าเพิ่ม นอกจากนั้น เราจะต่อยอดธุรกิจ โดยลงทุนเพิ่มกำไรจากผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลให้มากที่สุด”
KBS ได้ลงทุนในโรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวลจากกากอ้อยขนาด 35 เมกะวัตต์ เริ่มโครงการตั้งแต่กลางปี 2555 โดยกระแสไฟฟ้าส่วนหนึ่งที่ผลิตได้จะส่งกลับให้โรงน้ำตาล KBS โรงไฟฟ้าโรงใหม่นี้เป็นแบบ High Pressure ซึ่งมีประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าสูง เมื่อเริ่มดำเนินการจะสร้างความมั่นคงให้กับโรงงานน้ำตาลในช่วงฤดูหีบมาก กระแสไฟฟ้าที่เหลือประมาณ 22 เมกะวัตต์ จะจำหน่ายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยมีกำหนดเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเดือนเมษายน 2557 นี้
ขณะนี้ ความต้องการใช้เอทานอลสูงขึ้นร้อยละ 80 ในปี 2556 เนื่องจากการส่งเสริมเรื่องพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยให้มีการยกเลิกการใช้เบนซิน 91 ตั้งแต่ต้นปี 2556 การลงทุนในธุรกิจเอทานอลจึงมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาลเพราะมีความมได้เปรียบเรื่องวัตถุดิบ (Feed stock) และต้นทุนการขนส่งและการจัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป ทีมงาน KBS กำลังศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ น่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้
สำหรับฤดูกาลผลิต 2556/57 ซึ่งเริ่มตั้งแต่ธันวาคม 2556 KBS มีอ้อยเข้าหีบแล้ว 1.6 ล้านตัน มีเป้าหมายมีอ้อยเข้าหีบทั้งปี 2.67 ล้านตันซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีอ้อยเข้าหีบ 2.55 ล้านตัน บริษัทฯ ให้น้ำหนักกับการซ่อมแซมเครื่องจักรในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องจักรของบริษัทจะหีบอ้อยได้เป็นอย่างดี ทำให้ตัวเลขประสิทธิภาพเครื่องจักรในฤดูการหีบอ้อยปีนี้สูงที่สุดในรอบ 5 ปี
บริษัทฯ มีแผนงานเพื่อที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่ว่า “ KBSเป็นองค์กรชั้นนำในธุรกิจอ้อย น้ำตาล และชีวพลังงาน” โดยจะมุ่งเน้นเรื่องของคุณภาพ ประสิทธิภาพ การพัฒนาบุคลากร ผสานด้วยเทคโนโลยี พร้อมวางเป้าหมายรายได้ปีนี้ไว้ที่ประมาณ 6,500 ล้านบาท โดยจะมีรายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวลเข้ามาเสริม ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. ในเดือนเมษายน 2557 นี้ คาดว่าโครงการนี้จะเพิ่มกำไรให้กลุ่มบริษัทประมาณ 120 ล้านบาทในปี 2557 โดยในปีแรกยังรับรู้กำไรเพียง 9 เดือน และประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าอาจยังไม่ 100% ดังนั้นกำไรจากโครงการนี้ยังมี upside ที่จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 250 – 300 ล้านบาทในปี 2559
เขากล่าวต่อถึงผลการดำเนินงานบริษัทฯ งวดปี 2556 ว่ามีรายได้รวม 5,972 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 501ล้านบาท โดยกำไรสุทธิลดลงจากปีก่อนตามภาวะราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่เป็นขาลงตลอดปี 2556
“ผลการดำเนินงาน KBS งวดปี 2556 ถือได้ว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ต้องเผชิญกับภาวะตลาดน้ำตาลในตลาดโลกอ่อนตัว เนื่องจากปริมาณผลผลิตน้ำตาลของโลกสูงกว่าปริมาณการบริโภครวมเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยบริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ในการเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งในด้านวิสัยทัศน์ แผนงาน และบุคลากร เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ สู่ผู้นำทางธุรกิจ”
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่1/2557 ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท” กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 โดยจะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 13 มีนาคม 2557