กรุงเทพฯ--28 ก.พ.--YOKOHAMA
YOKOHAMA รุกตลาดยางรถยนต์เมืองไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ “BluEarth-A (บลูเอิร์ธ เอส)” นำเข้าจากญี่ปุ่น ชูจุดเด่นรักษ์สิ่งแวดล้อม ให้สมรรถนะดีเยี่ยม ให้ความนุ่มนวล ใช้งานได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยในการยึดเกาะถนนแม้วันฝนตก รองรับกลุ่มรถยอดนิยมตั้งแต่ซับคอมแพ็คคาร์ถึงกลุ่มมิดไซซ์ซีดาน ตั้งเป้าขาย 65,000 เส้นภายในปีนี้ มั่นใจจะช่วยต่อยอดความสำเร็จยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 350,000 เส้น พร้อมคาดการณ์ภาพรวมตลาดยางรถยนต์เมืองไทย จะมีปริมาณขายรวมกันใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ 10 ล้านเส้น เหตุจากได้ผลกระทบจากทางการเมืองโดยตรง รวมถึงต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและราคาพืชผลทางการเกษตรกรรมตกต่ำ
มร.ซาโตชิ ฟูจิตสึ (Mr.Satoshi Fujitsu) กรรมการผู้จัดการ บริษัท โยโกฮามา ไทร์ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวแนะนำยางรถยนต์รุ่นใหม่ “BluEarth-A (บลูเอิร์ธ เอส)” ยางรถยนต์ที่ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นภายใต้เทคโนโลยี BluEarth อันเป็นแนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อมของโลก ด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยในการประหยัดเชื้อเพลิง ซึ่ง YOKOHAMA นำมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั่วโลก โดยยาง “BluEarth-A (บลูเอิร์ธ เอส)” ถูกพัฒนาเพื่อให้การขับขี่ที่นิ่มนวล ภายใต้นวัตกรรม “Noise Controlled Pitch” ที่ให้ความมั่นใจในความเงียบได้ยาวนาน ด้วยการพัฒนาบล็อกดอกยางให้มีระยะของบล็อกที่มีขนาดเล็กลง นอกจากจะช่วยลดเสียงได้ดีแล้ว ยังป้องกันการสึกหรอแบบไม่เรียบ โดยบล็อกดอกยางมีความละเอียดมากถึง 84 บล็อก ช่วยให้ผู้ขับขี่บังคับควบคุมรถได้อย่างแม่นยำ ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง ให้สมรรถนะการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม และให้ระยะเบรกที่สั้นกว่าบนถนนเปียก
จากผลการทดสอบเปรียบเทียบระยะเบรกระหว่างยาง BluEarth-A (บลูเอิร์ธ เอส) กับยาง Earth-1 จากความเร็ว 120 กม.ต่อชม. จนลดลงเหลือ 0 กม.ต่อชม. บนพื้นผิวถนนเปียก ยาง BluEarth-A (บลูเอิร์ธ เอส) ให้ระยะเบรกที่สั้นกว่าถึง 20% จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพการใช้งานได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัยในการยึดเกาะถนนแม้วันฝนตก
ยาง BluEarth-A (บูลเอิร์ธ เอส) เป็นยางที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น สามารถตอบเทรนด์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ชนทั่วโลกให้ความใส่ใจในปัจจุบัน มีให้เลือกตั้งแต่ขอบ 14-17 นิ้ว หน้ากว้าง 175-245 และซีรี่ส์มีให้เลือกตั้งแต่ 40-65 รวม 30 ขนาด ราคาจำหน่าย 2,125-6,500 บาท ครอบคลุมรถยนต์ที่ใช้งานทั่วไป ตั้งแต่กลุ่มรถซับคอมแพ็คคาร์ถึงกลุ่มรถขนาดมิดไซซ์ซีดาน เช่น Toyota Yaris, Toyota Vios, Toyota New Altis, Toyota Prius, Toyota Camry, Honda City, Honda Jazz, Honda Civic, Honda Accord, Nissan Slyphy, Nissan Teana, Mazda 2 และ Mazda 3 เป็นต้น เริ่มวางจำหน่าย ณ ร้านค้าผู้แทนจำหน่ายของ YOKOHAMA กว่า 300 แห่งและศูนย์บริการยางมาตรฐาน YOKOHAMA CLUB NET WORK (YCN) 20 แห่งทั่วประเทศไทย ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป พร้อมกันนี้ได้จัดแคมเปญมอบให้แก่ผู้ใช้ในช่วงเปิดตัวแนะนำ เมื่อซื้อยาง BluEarth-A (บลูเอิร์ธ เอส) จำนวน 4 เส้น รับฟรีทันที Sport Bags (กระเป๋ากีฬาพรีเมียม) ที่จัดทำขึ้นมาเป็นการเฉพาะจำนวน 1 ใบ”
“ถือเป็นผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ของ YOKOHAMA ในปีนี้ ที่จะมาช่วยต่อยอดความสำเร็จในการจำหน่ายยางรถยนต์ของ YOKOHAMA รุ่นต่างๆ ที่วางตลาดไปก่อนหน้า โดยตั้งเป้าจำหน่ายยาง BluEarth-A (บลูเอิร์ธ เอส) ไว้ที่ 65,000 เส้น ภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ยอดขายรวมของ YOKOHAMA ในปีนี้ตั้งไว้ที่ 350,000 เส้น แบ่งเป็นยางกลุ่มรถยนต์นั่ง 45% กลุ่มยางรถยนต์ SUV รวมกับยางกลุ่มรถปิกอัพและ SUV 45% และรถบัสรถบรรทุกอีก 10% แม้เป้ายอดจำหน่ายในปีนี้จะน้อยกว่าปีที่ผ่านมา 30,000 เส้นก็ตาม แต่เมื่อวิเคราะห์จากปัจจัยลบและผลกระทบรอบด้าน ถือว่าสมเหตุสมผล หากภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยปรับตัวดีขึ้น สถานการณ์การเมืองคลี่คลายลงโดยเร็ว ความต้องการของตลาดอาจมีทิศทางการเติบโตดีขึ้นได้ เราอาจจะปรับเป้ายอดขายเพิ่มขึ้น”
มร.ซาโตชิ ฟูจิตสึ กล่าวถึงภาพรวมตลาดยางรถยนต์เมืองไทยในปีนี้ว่า ไตรมาสแรกและไตรมาสสองของปีนี้ คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองโดยตรง ขณะที่ค่าเงินบาทภาวะเศรษฐกิจที่ยังตกต่ำในปัจจุบัน รวมถึงราคาพืชผลทางการเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นราคาข้าว และราคายางพารา ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง จากภาวะดังกล่าวนี้ส่งผลให้ภาคธุรกิจต่างได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น
“ช่วงที่ผ่านมาผู้บริโภคจะยืดระยะเวลาในการเปลี่ยนยาง แต่ตราบใดที่รถยนต์ยังเป็นสิ่งจำเป็น ที่สุดแล้วความต้องการของตลาดจะกลับคืนมา นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจคือ กลุ่มรถอีโคคาร์ที่วางตลาดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีปริมาณการขายที่สูงมาก รถกลุ่มนี้ถึงะเวลาที่ต้องเปลี่ยนยาง จะมีส่วนทำให้ตลาดยางทดแทนมีโอกาสทางการขายสูงในปีนี้ เบื้องต้นคาดว่า ตลาดยางรถยนต์เมืองไทยจะมีปริมาณจำหน่ายรวมกันที่ 10 ล้านเส้น ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่แล้ว”
ส่วนสถานการณ์ราคายางพาราที่ตกต่ำ ทำให้ค่ายผู้ผลิตยางรถยนต์ต่างได้รับประโยชน์กันถ้วนหน้า จะทำให้ตลาดยางรถยนต์เกิดการแข่งขันรุนแรง โดย YOKOHAMA จะนำประโยชน์จากต้นทุนที่ต่ำนี้ ส่งคืนกลับไปให้กับผู้บริโภคโดยตรง ด้วยการจัดแคมเปญพิเศษเพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าในการเลือกใช้ยาง YOKOHAMA อย่างสูงสุด นอกเหนือไปจากคุณภาพและสมรรถนะของผลิตภัณฑ์มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
สำหรับนโยบายการทำการตลาดในปี 2557 นอกจากจะขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดแบบ 360 องศา ที่มีทั้งในรูปแบบ Push, Pull และ Motor Sport Marketing ผ่านการสนับสนุนการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการสำคัญระดับประเทศ อาทิ ไทยแลนด์ ซูเปอร์ ซีรี่ส์ 2014, โปร.เรซซิ่ง ซีรี่ส์ ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนชิพ 2014, รายการ D1 Grand Prix Thailand Series 2014 และสนับสนุนนักขับในรายการ Off Road Trophy เพื่อร่วมกันต่อยอดความสำเร็จการดำเนินธุรกิจของเครือข่ายอย่างยั่งยืน และให้สามารถตอบทุกโจทย์ความต้องการของลูกค้า ที่จะดำเนินงานอย่างเข้มข้นตลอดปี 2557 แล้ว YOKOHAMA จะเพิ่มความเข้มข้นในการทำตลาด OEM ร่วมกับค่ายผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศไทยอีกด้วย
“เราจะเพิ่มความเข้มข้นในการทำตลาดทุกภาคส่วนแบบคู่ขนาน อย่างกลยุทธ์ “Motor Sport Marketing” ยังคงเน้นหนักเช่นเคย โดยสนับสนุนงบประมาณในการทำทีม พร้อมทั้งสนับสนุนยางรถยนต์ให้กับทีมแข่งและนักขับระดับประเทศ ด้วยงบประมาณราว 10 ล้านบาท ขณะที่ตลาด OEM ตามแผนธุรกิจของบริษัทแม่ประเทศญี่ปุ่น ที่เล็งเห็นความความสำคัญของภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง จึงตั้งเป้าการรุกขยายตลาดนี้กับค่ายผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ที่มีฐานการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ให้ครอบคลุมทุก
แบรนด์ ขณะนี้เริ่มทำตลาด OEM กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในประเทศไทยมากขึ้น ส่วนค่ายรถยนต์อื่นๆ กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา” มร.ซาโตชิ ฟูจิตสึ กล่าวในท้ายสุด
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ : ฝ่ายการตลาด โทร.0-2652-6996-7