ทิสโก้ เวลธ์ ตั้งเป้าผู้นำลงทุนต่างประเทศปี 57 ชู “งานวิจัย-ผลิตภัณฑ์” ครอบคลุมทั่วโลก พร้อมแนะนำลงทุนญี่ปุ่น-เอเชียเหนือ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 3, 2014 15:33 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--3 มี.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป ทิสโก้ เวลธ์ ตั้งเป้าปี 57 ขึ้นแท่นผู้นำการลงทุนต่างประเทศ (Global Wealth Advisory) โชว์จุดแข็ง “งานวิจัย-ผลิตภัณฑ์” ครอบคลุมทั่วโลก ทั้งบทวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจการลงทุนเชิงลึกทุกภูมิภาค และผลิตภัณฑ์ต่างประเทศรองรับทุกภาวะการลงทุน พร้อมทีมงานขายคุณภาพ ตอบโจทย์บริหารความมั่งคั่งครบวงจร ตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารแตะ 2.5 แสนล้านบาท นายพิชา รัตนธรรม หัวหน้าสายธุรกิจธนบดี ทิสโก้ เวลธ์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ “ทิสโก้ เวลธ์” (TISCO Wealth) บริการบริหารความมั่งคั่งอย่างครบวงจรของกลุ่มทิสโก้ ทั้งบริการธนาคาร, บริหารจัดการกองทุน และบริการซื้อขายหลักทรัพย์ ภายใต้วิสัยทัศน์การให้คำแนะนำที่ดีที่สุด (Top Advisory) ในปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถขยายจำนวนฐานลูกค้า และสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ได้อย่างโดดเด่น โดยตั้งแต่ให้บริการ ทิสโก้ เวลธ์ อย่างเต็มรูปแบบตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ณ สิ้นเดือน ม.ค. 57 มีฐานลูกค้าอยู่ที่ประมาณ 118,000 ราย และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ประมาณ 188,000 ล้านบาท สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2557 นายพิชากล่าวว่า ทิสโก้ เวลธ์ มุ่งเน้นจุดยืนในการเป็นผู้นำด้านที่ปรึกษาการลงทุนต่างประเทศที่ครอบคลุมทั่วโลก (Global Wealth Advisory) เพื่อรองรับทุกความต้องการ และทุกสถานการณ์ภายใต้พลวัตเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ด้วยความแตกต่างอย่างโดดเด่น 3 ประการที่สำคัญของ ทิสโก้ เวลธ์ ได้แก่ 1. คุณภาพงานวิจัยเชิงกลยุทธ์ (Research quality) โดยทีมงานคุณภาพจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO Economic Strategy Unit: TISCO ESU) ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับด้านงานวิจัยที่มีคุณภาพในระดับสากล มีความเชี่ยวชาญ และสามารถให้ข้อมูลในเชิงลึกครอบคลุมแนวโน้มเศรษฐกิจทุกภูมิภาคทั่วโลก และการลงทุนทุกประเภทสินทรัพย์ ที่ให้บริการแก่ลูกค้าอย่างทั่วถึงผ่านช่องทางต่างๆ ในขณะที่รายอื่นในตลาดอาจจะมุ่งไปเพียงบางประเทศ หรือบางสินทรัพย์ พิสูจน์ได้จากในปีที่ผ่านมา ทิสโก้เป็นรายแรกๆ ที่ออกบทวิเคราะห์และแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในต่างประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และล่าสุดคือเอเชียเหนือ เนื่องจากเห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวในภูมิภาคดังกล่าว ซึ่งขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศดังกล่าวได้ฟื้นตัวอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจญี่ปุ่น และเอเชีย ทำให้ลูกค้าได้รับโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากลงทุนได้อย่างน่าพอใจ และ 2. นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและครอบคลุมทั่วโลก (Product innovation) โดยปัจจุบันทิสโก้ เวลธ์ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สนองความต้องการของลูกค้าที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลามาอย่างต่อเนื่อง และมีจุดยืนที่ชัดเจนในการเป็นผู้นำด้านการลงทุนในตลาดต่างประเทศ เพื่อสร้างโอกาสให้แก่ลูกค้าที่ต้องการทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย นอกเหนือจากในประเทศ โดยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของ ทิสโก้ เวลธ์ คือผลิตภัณฑ์กองทุนรวมต่างประเทศ โดย บลจ. ทิสโก้ ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์ถึงผลความสำเร็จได้อย่างชัดเจน 3. ที่ปรึกษาการลงทุนที่พร้อมให้คำแนะนำ (Consultative Sales) บุคลากรของทิสโก้เวลธ์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ เป็นผู้ที่มีประสบการณ์สูง และมีความเป็นมืออาชีพ และมีสัดส่วนเจ้าหน้าที่การตลาดที่ได้รับใบอนุญาตแนะนำการลงทุน (Single License) มากถึง 93% ของเจ้าหน้าที่การตลาดทั้งหมดทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม จึงสามารถให้คำปรึกษาและแนะนำการลงทุนแก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดี “ด้วยความพร้อมในปัจจุบันของ ทิสโก้ เวลธ์ ทั้งคุณภาพของงานวิจัย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และความชำนาญในการให้คำปรึกษาโดยทีมงานคุณภาพ ตลอดจนบริการที่ดีและสิทธิประโยชน์ที่มอบให้ลูกค้า เราจึงมั่นใจว่าจะได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายในปีนี้จะขยายฐานลูกค้าเพิ่ม 30% หรืออยู่ที่ประมาณ 1.6 แสนราย และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้น 20% หรืออยู่ที่ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท” นายพิชากล่าว ทางด้าน นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด กล่าวถึงความพร้อมของผลิตภัณฑ์ของ บลจ.ทิสโก้ เพื่อสอดรับไปกับวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำการลงทุนต่างประเทศของ ทิสโก้ เวลธ์ ว่า ในปีนี้ บลจ. ทิสโก้ จะมุ่งพัฒนากองทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้จะกองทุนที่ลงทุนในประเทศญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศเอเชียเหนือ ซึ่งเป็น 2 กลุ่มประเทศดาวเด่นที่มีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานและราคาหุ้นอยู่ในเกณฑ์ที่น่าสนใจลงทุน ตามมุมมองของศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ดังกล่าว “ปีนี้เรามองว่า กองทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ จะยังคงเป็นตัวชูโรงเช่นเคย เนื่องจากเป็นกองทุนที่มีการตั้งเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน และสามารถปิดกองทุนได้ก่อนกำหนด หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย ซึ่งเหมาะกับการลงทุนในภาวะที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน และเหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด โดยที่ผ่านมากองทุนทริกเกอร์ฟันด์ของทิสโก้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุน เนื่องจากผลงานการบริหารกองทุนอันโดดเด่น โดยสามารถปิดกองทุนได้ในระยะเวลาที่รวดเร็ว ก่อนครบอายุโครงการได้เป็นส่วนใหญ่ จึงมั่นใจว่าในปีนี้กองทุนทริกเกอร์ฟันด์ของทิสโก้ จะยังคงเป็นผลิตภัณฑ์เด่นในปีนี้ และได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเคย ทั้งนี้ นอกจากการออกทริกเกอร์ฟันด์อย่างต่อเนื่องเมื่อมีจังหวะเวลาที่เหมาะสม ปัจจุบันทิสโก้มีกองทุนต่างประเทศที่เสนอขายให้แก่ลูกค้าอย่างครอบคลุม อาทิ “กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้” ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น, “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Shares อิควิตี้” ลงทุนในหุ้นจีน และในสัปดาห์นี้จะออก “กองทุนเปิดทิสโก้ นอร์ธ เอเชีย อิควิตี้” ลงทุนในหุ้นเอเชียเหนือ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่สอบถามเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนผู้สนใจตลาดหุ้นประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ก็มี กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ฟันด์ และ กองทุนเปิด ทิสโก้ ยุโรป อิควิตี้ ไว้รองรับ ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการทางการเงินที่หลากหลายและครอบคลุมทั่วโลกอย่างแท้จริง” นายธีรนาถ กล่าว ชี้ “ญี่ปุ่น-เอเชียเหนือ” พระเอกแห่งปี น่าเข้าลงทุน ด้าน ดร. กำพล อดิเรกสมบัติ หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวถึงภาพรวมของสภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในปีนี้ว่า ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้มองว่า ประเทศที่น่าสนใจและแนะนำให้ลงทุนในปีนี้ คือ ญี่ปุ่น และเอเชียเหนือ โดยสำหรับญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei 225 ปรับฐานอย่างรุนแรงนับจากต้นปี เนื่องจากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น จากความกังวลต่อปัญหาเงินทุนไหลออกในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในญี่ปุ่น เนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวของกำไรที่โดดเด่น โดยคาดการณ์ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนในดัชนี Nikkei 225 จะเติบโตขึ้นราว 17% ในปี 2014 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ เช่น สหรัฐฯและยุโรป ซึ่งแนวโน้มการเติบโตของกำไรอยู่ที่ประมาณ 7-10% เท่านั้น ในขณะที่ P/B ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว สำหรับกลุ่มประเทศเอเชียเหนือ อันประกอบด้วยจีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน และเกาหลีใต้ เป็นกลุ่มประเทศที่น่าสนใจเข้าลงทุนในปีนี้เช่นเดียวกัน เนื่องจากยังมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจาก 1) แนวโน้มการส่งออกยังที่ขยายตัวต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศพัฒนาแล้ว 2) ค่าเงินที่อ่อนลงจากความกังวลในรอบนี้ซึ่งช่วยสนับสนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียน และ 3) Valuation ที่น่าสนใจ โดยส่วนต่างค่า P/E ระหว่างตลาดสหรัฐฯ และเอเชียอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 8 ปี และยังเทรดที่ P/E และ P/B ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ซึ่งด้วยแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง ประกอบกับ Valuation ที่ยังถูก จะทำให้ตลาดหุ้นเอเชียเหนือสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าภูมิภาคอื่นๆ ในปีนี้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ