กรุงเทพฯ--4 มี.ค.--เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง
บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา เผยผลการดำเนินงานปี 56 กำไร 137.9 ล้านบาท ปันผล 0.60 บาท วางแผนธุรกิจปี 57 เตรียมแผนดัน IPO-PP เข้าตลาด 5-6 ราย ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ธุรกิจโบรกเกอร์ 3.5% คาดวอลุ่มกลับมาคึกเฉลี่ย 40,000 ล้านบาทต่อวัน ดันหุ้นไทยดัชนีสิ้นปี 1,500 จุด คาดสร้างฐานลูกค้าใหม่ 1,000 บัญชี มองดัชนีระยะสั้นเดือนมีนาคม แตะ 1,350 จุด ขานรับปัจจัยหนุนบรรยากาศการเมืองเริ่มคลี่คลาย แนะนำเก็บหุ้นที่อิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นอกจากนั้น โชว์ผลตอบแทนแบบ Market Theme ประจำกุมภาพันธ์พุ่ง 5.5% เทียบ SET Index ที่ 4.0% วัดผลงานตามระยะเวลา 44 เดือนของการจัดตั้ง ชนะ SET index ไปกว่า 406%
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยผลการดำเนินงานรวมของ บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จำกัด (มหาชน) งบการเงินรวมประจำปี 2556 มีกำไรสุทธิ 137.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิด 19.04% จากกำไรสุทธิ 115.85 ล้านบาทในปี 2555 โดยมีรายได้รวมในปี 2556 อยู่ที่ 850.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิด 25.10% จากรายได้รวมของปีก่อน 680.08 ล้านบาท โดยเตรียมจ่ายปันผลประจำผลการดำเนินงานปี 2556 เป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้นสามัญ ในอัตรา 0.60 บาทต่อหุ้น โดยได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วอัตราหุ้นละ 0.30 บาทและกำหนดจ่ายส่วนที่เหลืออัตราหุ้นละ 0.30 บาท จากกำไรต่อหุ้นตามงบการเงินรวม 0.79 บาท ตามนโยบายจ่ายปันผล 50% ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 7 มีนาคม 2557 และกำหนดจ่ายปันผลวันที่ 16 พฤษภาคม 2557
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2557 บริษัทเตรียมปรับเพิ่มรายได้ในทุกธุรกิจ โดยคาดว่าธุรกิจด้านวาณิชธนกิจจะมีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน และหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ 5-6 ราย และงานที่ปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างทางการเงินอีก 4-6 ราย ซึ่งคาดว่าการมีสินค้าใหม่ๆจะช่วยเพิ่มฐานบัญชีลูกค้าด้านธุรกิจหลักทรัพย์ให้เพิ่มมากขึ้น โดยด้านธุรกิจหลักทรัพย์ตั้งเป้าจำนวนบัญชีใหม่ 1,000 ราย สอดคล้องกับฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยดัชนีสิ้นปีมีโอกาสแตะ 1,500 จุดซึ่งเป็นค่า PE (Forward) ที่ 13.7 เท่าของกำไรต่อหุ้นในปี 2557 และปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยทั้งปี 40,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจด้านการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Wealth Management) มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นตามความเชื่อมั่นในการลงทุนที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ได้ให้ความรู้ด้านการลงทุนในการวิเคราะห์แบบใช้องค์ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อประเมินภาพรวมตลาดตามบทวิเคราะห์ The Big Picture และมีการแนะนำนักลงทุนแบบ Market Theme
ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กล่าวเสริมว่า ได้ประเมินภาพรวมความเคลื่อนไหวของ SET Index ในเดือนมีนาคมมีโอกาสปรับตัว (Sideways up) ขึ้นทดสอบ 1,350 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ บรรยากาศการเมืองที่เริ่มคลี่คลายประกอบกับ Valuation gap ระหว่าง SET Index กับดัชนี MSCI World ยังคงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว แสดงถึงโอกาสในการปรับตัวขึ้น (Upside) ของดัชนีหุ้นไทยยังมีอยู่ นอกจากนั้นระดับดัชนีหุ้นไทยในปัจจุบันราคาได้สะท้อนปัจจัยทางการเมืองที่เลวร้ายสุดไปแล้ว แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ปัญหาการกู้ยืมและการลงทุนนอกระบบของภาคการเงินจีน ซึ่งอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) มีความผันผวนได้
โดยหุ้นที่เหมาะกับการลงทุนแนะนำหุ้นที่อิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ได้แก่ SCC ราคาเป้าหมาย 540 บาท, CPF ราคาเป้าหมาย 37 บาท หุ้นกลุ่มเดินเรือ ได้แก่ TTA ราคาเป้าหมาย 21.90 บาท หุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยการเมืองมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ INTUCH ราคาเป้าหมาย 100 บาทHMPRO ราคาเป้าหมาย 10.25 บาท, MINT ราคาเป้าหมายแบบ Consensus ที่ 27 บาท และหุ้นกลุ่มที่มีเงินปันผลมั่นคง ได้แก่ GLOW ราคาเป้าหมายยังอยู่ระหว่างการประเมิน, TRUEIF ราคาเป้าหมายยังอยู่ระหว่างการประเมิน กลุ่มสุดท้ายหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและมี High beta ได้แก่ JAS ราคาเป้าหมาย 9.80 บาท และ ANAN ราคาเป้าหมายในระยะกลางแบบ Consensus ที่ 1.73 บาท
ทั้งนี้ ทีมฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้ทำการศึกษาและค้นพบว่า การลงทุนในตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จะเป็นการลงทุนโดยใช้ “Market Theme” เป็นสิ่งสำคัญ โดยมีระยะการลงประมาณ 1-3 เดือน โดยหุ้นที่แนะนำใน The Big Picture สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ให้ผลตอบแทน +5.5% ในขณะที่ SET Index ให้ผลตอบแทน +4.0% สำหรับ Portfolio ของ The Big Picture ให้ผลตอบแทนทั้งหมด +472% ในระยะเวลา 44 เดือนของการจัดตั้ง เทียบกับ SET index ที่ +66%