กรุงเทพฯ--7 มี.ค.--แกรนท์ ธอนตัน
เนื่องในโอกาสวันสตรีสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี รายงานผลการสำรวจธุรกิจนานาชาติประจำปีของแกรนท์ ธอนตัน (The Grant Thornton International Business Report: IBR) เผยผลสำรวจทั่วโลกถึงบทบาทผู้หญิงในฐานะผู้บริหาร โดยผลสำรวจเผยว่า แม้จะมีข้อถกเถียงในเรื่องของสัดส่วนผู้หญิงที่เป็นผู้บริหารระดับสูงทั่วโลกต่ำกว่า 1 ใน 4 แต่ยังคงมีการสนับสนุนในเรื่องของจำนวนผู้หญิงในฐานะคณะกรรมการบริหารมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงมาตรการหลายอย่างในองค์กรที่ช่วยอำนวยความสะดวกในเส้นทางอาชีพของผู้หญิง
ในปี 2557 นี้ สัดส่วนของนักบริหารหญิงทั่วโลกมีเพียงร้อยละ 24 ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกันกับในปี 2556, 2552 และ 2549 และมีเพียงแค่ร้อยละ 5 ของประเทศที่เข้าร่วมสำรวจ ที่มีจำนวนนักบริหารหญิงสูงกว่าร้อยละ 19 ซึ่งเป็นผลสำรวจที่ถูกบันทึกไว้เมื่อ 10 ปีก่อนในปี 2547 (รายงานผลสำรวจ IBR ยังไม่ได้ครอบคลุมประเทศเศรษฐกิจอย่างบราซิล สาธาณรัฐประชาชนจีน และอินโดนีเซีย ในปี 2547 ) โดยในแต่ละภูมิภาคเองก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญทีละน้อยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการเปลี่ยนแปลงที่ดี โดยมีถึง 3 ประเทศที่อยู่ใน 6 อันดับแรกของโลก ซึ่งประเทศอินโดนีเซียมีสัดส่วนของนักบริหารหญิงที่ร้อยละ41 ทะยานสู่อันดับ 2 ส่วนฟิลิปปินส์มีสัดส่วนถึงร้อยละ 40 อยู่ในอันดับ 4 ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 6 ด้วยสัดส่วนร้อยละ 38 ซึ่งเพิ่มจากปีก่อนเพียงเล็กน้อย
นางสุมาลี โชคดีอนันต์ หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชีของแกรนท์ ธอนตัน ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า “ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยสำหรับประเทศไทยและอีกหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่ผู้หญิงจะอยู่ในบทบาทของผู้บริหารระดับสูง ชาวเอเชียล้วนให้ความสำคัญกับครอบครัวอย่างมาก และผู้หญิงมักจะมีบทบาทสำคัญในบ้านมาเสมอ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป โลกธุรกิจมีการเติบโตขึ้น บทบาทเหล่านี้ก็ได้กลายเป็นความคุ้นเคยสำหรับผู้หญิงเรา แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้หญิงในบทบาทของผู้บริหารในไทยจึงกลายเป็นข้อพิสูจน์ และสิ่งเหล่านี้ยังคงแผ่ขยายไปทั่วอาเซียน เช่นเดียวกับที่เราเห็นโอกาสที่เพิ่มขึ้นจากกเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งส่งผลให้เกิดความต้องการในการจ้างงานมากขึ้น รวมถึงความจำเป็นในการเพิ่มความหลากหลายในที่ทำงานอย่างต่อเนื่อง”
นางฟรานเชสก้า ลาเกอร์เบิร์ก หัวหน้าสายงานบริการด้านภาษีทั่วโลกของแกรนท์ ธอนตัน กล่าวว่า "คงไม่มีใครปฎิเสธว่าการแสดงความเห็นที่หลากหลายมากขึ้นจะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่า ในโลกธุรกิจการตัดสินใจที่ดีย่อมหมายถึงการเจริญเติบโตที่แข็งแกร่ง ดังนั้นองค์กรควรใส่ใจในการปูทางเพื่อส่งเสริมผู้หญิง ตั้งแต่ช่วงกำลังศึกษาไปจนถึงการก้าวสู่ตำแหน่งผู้บริหาร"
ผลการสำรวจฯ ยังแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนส่งเสริมให้มีสัดส่วนผู้หญิงในคณะกรรมการบริหารทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้น โดยร้อยละ 45 หรือเกือบ 1 ใน 2 ของผู้บริหาร อยากเห็นจำนวนสัดส่วนคณะกรรมการบริหารที่เป็นผู้หญิงในบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ ซึ่งมากกว่าผลสำรวจในปี 2556 ซึ่งมีแค่ร้อยละ 37 หรือแค่เพียง1 ใน 3 เท่านั้น โดยจุดที่น่าสนใจ คือสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในสหภาพยุโรป จากร้อยละ 33 เป็นร้อยละ 41 ในปีนี้ เช่นเดียวกับกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว (BRIC) ที่เพิ่มจากร้อยละ 41 เป็นร้อยละ 72 ในขณะที่การสนับสนุนยังคงสูงสำหรับประเทศในแถบลาตินอเมริกา (ร้อยละ 68) และเอเชียแปซิฟิก (ร้อยละ 57) ส่วนกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G7 มีผู้ให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าวอยู่ร้อยละ 33
"หลายประเทศทั่วโลก ต่างตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างความสมดุลย์ของสัดส่วนผู้บริหาร ระหว่างผู้ชายและผู้หญิง แม้แต่ในประเทศญี่ปุ่น ที่แม้จะมีสัดส่วนของผู้บริหารหญิงเพียงแค่ร้อยละ 9
รั้งอันดับสุดท้ายของผลสำรวจ แต่กว่า 1 ใน 5 ของผู้ถูกสำรวจต่างสนับสนุนการเพิ่มอัตราส่วนผู้หญิงในคณะกรรมการบริหารหรือมีแผนที่จะส่งเสริมให้กลายเป็นผู้บริหารระดับสูง ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีทั่วโล กสำหรับทีมบริหารที่มีความหลากหลาย" นางจุฬาภรณ์ นำชัยศิริ กรรมการผู้จัดการ – วาณิชธนกิจ ของแกรนท์ ธอนตัน ประเทศไทย กล่าว
นางฟรานเชสก้า ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เรื่องสัดส่วนดังกล่าวเป็นสิ่งที่ยังต้องถกเถียงกัน แต่อาจเป็นเรื่องดีที่เราได้มาถึงจุดเปลี่ยนแปลงนี้ และองค์กรธุรกิจจำเป็นต้องมีการผลักดัน หากเราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง”
"แต่องค์กรเองก็ยังสามารถออกมาตรการที่ช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ จากผลสำรวจของเราแสดงให้เห็นว่า โดยเฉลี่ยเพียงแค่ 1 ใน 5 ของนักศึกษาจบใหม่ที่เข้าทำงานทั่วโลกเป็นผู้หญิง หากคุณหวังที่จะเห็นสัดส่วนจำนวนที่เหมาะสมของผู้บริหารหญิงในอนาคตจากเด็กเหล่านี้ คุณก็ควรเพิ่มโอกาสในการรับเข้ามาให้มากขึ้น ซึ่งก็มองว่าเป็นข้อดีสำหรับธุรกิจ เพราะการมีตัวเลือกผู้สมัครจำนวนมาก ย่อมหมายถึงโอกาสที่มากขึ้นในการจ้างผู้ที่มีความสามารถ ตลอดจนสิ่งอื่นที่อาจทำได้ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่พนักงานที่อาจมีครอบครัวและกลายเป็นคุณแม่ในอนาคต เช่น การยืดหยุ่นเวลาเข้าออกงาน แม้จะเป็นสิ่งที่ดีแต่ก็อาจยังไม่เพียงพอ เราอาจต้องพิจารณาการให้ความสนับสนุนที่ชัดเจนสำหรับการช่วยดูแลเด็กด้วย หากยังอยากจะรักษาผู้หญิงที่มีความสามารถเอาไว้”
ทั้งนี้รายงานผลการสำรวจ ‘Women in business: from classroom to boardroom’ ฉบับเต็ม ท่านสามารถหาอ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.internationalbusinessreport.com