กรุงเทพ--1 ธ.ค.--ธ.นครธน
ธนาคารนครธน ประกาศเพิ่มพูน 670 ล้านบาท ชายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม เผยขณะนี้มีธนาคารและสถาบันการเงินในต่างประเทศหลายแห่งกำลังเจรจาร่วมทุนกับธนาคาร คาดว่าจะเรียบร้อยในไตรมาสแรกปีหน้า พร้อมย้ำขณะนี้ฐานะและการดำเนินงานของธนาคารอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่เคยกู้เงินจากกองทุนฟื้นฟูเลยนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจและการเงินเป็นต้นมา
นายวรวีร์ หวั่งหลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนาคารนครธนเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2540 ที่ผ่านมา ได้มีมติให้ธนาคารเพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่ 670 ล้านบาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่จำนวน 67 ล้านหุ้นเศษ จำหน่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ หรือในอัตราส่วน 2:1 ในราคาเท่ากับมูลค่าหุ้น คือ หุ้นละ 10 บาท
ปัจจุบันธนาคารมีทุนจดทะเบียน 2,400 ล้านบาท และเรียกชำระแล้ว 1,344 ล้านบาท ดังนั้นการเพิ่มทุนใหม่อีก 670 ล้านบาทในครั้งนี้ จะทำให้ทุนจดทะเบียนของธนาคารที่เรียกชำระแล้วรวมเป็น 2,014 ล้านบาท อย่างไรก็ตามธนาคารได้กำหนดประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติเพิ่มทุนครั้งนี้ ในวันที่ 6 มกราคม 2541 และกำหนดปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นเพื่อสิทธิในการซื้อหุ้นใหม่เพิ่มทุนในวันที่ 15 มกราคม 2541 พร้อมกำหนดชำระเงินค่าซื้อหุ้นใหม่เพิ่มทุนในวันที่ 9-13 กุมภาพันธ์ 2541
นายวรวีร์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกธนาคารและสถาบันการเงินดำเนินการเพิ่มทุน เพื่อให้มีเงินกองทุนมากเพียงพอกับสินทรัพย์เสี่ยงหรือเงินให้สินเชื่อเพื่อจะได้แข่งขันกับตลาดการเงินเสรีในอนาคตได้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยจะอนุญาตให้สถาบันการเงินต่างประเทศถือหุ้นได้อย่างอิสระนั้น ปรากฏว่าในขณะนี้มีธนาคารและสถาบันการเงินในต่างประเทศหลายแห่งได้มาติดต่อขอเจรจาร่วมทุนกับทางธนาคารนครธน ซึ่งอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลงในรายละเอียดต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อธนาคาร ผู้ถือหุ้นและลูกค้าโดยรวม โดยคาดว่าจะสามารถทำความตกลงและลงนามร่วมกันในราวไตรมาสแรกปีหน้า
"ผมมีความภูมิใจที่ ธนาคารนครธนยังมีฐานะการดำเนินงานและสถาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาตลอดและยังไม่เคยขอความช่วยเหลือจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน นับตั้งแต่ได้เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินเป็นต้นมาซึ่งย่อมเป็นเครื่องชี้ชัดว่า ธนาคารนครธนยังคงมั่นคง และจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไปได้อย่างราบรื่น"--จบ--