กรุงเทพฯ--18 มี.ค.--บลจ.กสิกรไทย
นายพงศ์พิเชษฐ์ นานานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ABPIF) ครั้งที่ 1 สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2556 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนวันที่ 20 มีนาคม 2557 ในอัตรา 0.5440 บาทต่อหน่วย พร้อมกันนี้กองทุนได้ดำเนินการลดทุนจดทะเบียนของกองทุนรวมครั้งที่ 1 และจะจ่ายคืนผลตอบแทนส่วนลดทุนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ในอัตรา 1.0115 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้มูลค่าทุนจดทะเบียนลดลงเหลือ 9.4885 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้เมื่อรวมมูลค่าผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับทั้งในส่วนเงินปันผลและเงินลดทุน รวมทั้งสิ้น 1.5555 บาทต่อหน่วย คิดเป็น 14.8% ของราคาจองซื้อหรือมูลค่ารวมทั้งสิ้น 933.30 ล้านบาท ทั้งนี้ กองทุนมีกำหนดจ่ายเงินปันผลและคืนเงินลดทุนดังกล่าวในวันที่ 31 มีนาคม 2557 นี้
สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน ABPIF ที่ผ่านมา นายพงศ์พิเชษฐ์ กล่าวว่า “จากการที่กองทุน ABPIF ลงทุนในสัญญาโอนผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้า ของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 และ 2 ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ที่มีรายได้หลักมาจากการทำสัญญาระยะยาวในการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2556 โรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ สามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากปัจจุบันปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้ายังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งจากภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน ทำให้กองทุนสามารถจ่ายเงินปันผลได้ตั้งแต่รอบบัญชีแรก (19 ก.ย. -31 ธ.ค. 2556) โดยคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในรอบบัญชี สูงถึง 5.18% นอกจากนี้กองทุน ABPIF ยังมีกำไรสุทธิซึ่งปรับปรุงแล้ว รวมมูลค่ากว่า 326.50 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 0.5442 บาทต่อหน่วยลงทุน ซึ่งเมื่อคำนวณจากอัตราการจ่ายปันผลในครั้งนี้ ในอัตรา 0.5440 บาทต่อหน่วย ถือได้ว่ากองทุนมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงถึง 99.9% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว”
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (ABPIF) เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2556 ด้วยมูลค่ากองทุน 6,300 ล้านบาท ถือเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองทุนที่ 2 ของประเทศไทยที่มีการจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ และนับว่าเป็นทางเลือกใหม่ในการลงทุนที่ดี ซึ่งตอบรับกับสภาวะตลาดในปัจจุบันที่มีความผันผวนสูง เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว และต้องการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ อาทิ หุ้น ตราสารหนี้ โดยนักลงทุนจะมีโอกาสได้รับผลตอบแทน 2 ส่วนคือ เงินปันผลและเงินลงทุนที่ทยอยจ่ายด้วยการลดทุน โดยผู้ลงทุนที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับการยกเว้นภาษี ณ ที่จ่าย จากผลตอบแทน เป็นเวลา 10 ปี ทั้งนี้กองทุนมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 2 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว และกองทุนพิจารณาจ่ายส่วนลดทุนคืนไม่เกินปีละ 2 ครั้ง จนกว่าจะสิ้นสุดระยะเวลาตามสิทธิในการรับผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้า ทั้งนี้หากกองทุนไม่มีแผนการลงทุนในกิจการเพิ่มเติม กองทุนจะดำเนินการทยอยลดทุนจนกระทั่งสิ้นสุดอายุสัญญาดังกล่าว
นายพงศ์พิเชษฐ์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า “สำหรับกรณีการลดทุนถือเป็นการคืนผลประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ตามโครงสร้างปกติของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่เข้าลงทุนในกระแสเงินสดสุทธิจากการดำเนินกิจการ โดยตามสัญญาโอนผลประโยชน์และตามมาตรฐานทางบัญชี มูลค่าของทรัพย์สินของกิจการโครงสร้างพื้นฐานจะลดลงตามอายุของสิทธิการรับผลประโยชน์จากรายได้ในอนาคตที่เหลืออยู่ ดังนั้น เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาโครงการตามสิทธิในการรับผลประโยชน์จากรายได้ในอนาคตดังกล่าวที่กองทุนรวมได้ลงทุนไว้ มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) อาจจะลดลงจนถึงศูนย์บาทได้ในที่สุด อย่างไรก็ตามผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปของเงินปันผลและทยอยรับเงินต้นคืนจากการลงทุนด้วยการลดทุนตลอดอายุกองทุน ซึ่งเป็นหลักการทั่วไปที่ใช้ในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แบบสิทธิการเช่าหรือ Leasehold ทั้งนี้หากผู้ลงทุนท่านใดสนใจกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่มั่นคงอย่างเช่นกองทุน ABPIF เพื่อสร้างความสมดุลย์ให้พอร์ทการลงทุนของตัวท่านเอง ผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติมผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยใช้ตัวย่อ ABPIF ในหมวดธุรกิจพลังงาน”
ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุน ABPIF สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือติดตามรายละเอียดได้ทาง www.kasikornasset.com หรือ www.bgrimmpower.com