กรุงเทพฯ--19 มี.ค.--ช.การช่าง
- บริษัทฯ มีโครงการที่รอรับรู้รายได้กว่า 110,000 ล้านบาท
- พร้อมพัฒนาโครงการใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านขยายฐานรายได้บริษัทฯ รองรับความเสี่ยงภายในประเทศ
บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK ผู้นำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและลงทุนในสัมปทานโครงการที่หลากหลาย เปิดเผยไร้กังวลแม้พระราชบัญญัติกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทจะถูกศาลตัดสินว่าขัดรัฐธรรมนูญซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโครงการก่อสร้าง เนื่องจากบริษัทมีโครงการที่รอรับรู้รายได้กว่า 110,000 ล้านบาทอยู่ในมือ ซึ่งมากกว่า 4 เท่าของรายได้บริษัท นอกจากนั้นยังสามารถมีรายได้จากการลงทุนของบริษัทลูกอีกมากมาย ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน
นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลประกอบการที่ดีในปีที่แล้วแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัท จากกลยุทธ์การดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นด้านของงานก่อสร้างและงานลงทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ด้วยโครงสร้างธุรกิจของ ช.การช่าง เองที่เป็นทั้งผู้รับเหมาก่อสร้างและลงทุนในสัมปทานด้วย ทำให้เรามีแหล่งรายได้ที่หลากหลายและไม่ต้องพึ่งพารายได้จากโครงการของภาครัฐหรือโครงการภายในประเทศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่สามารถพัฒนาโครงการได้เองหรือสามารถมีรายได้จากการก่อสร้างโครงการของบริษัทลูก และได้รับรายได้จากการดำเนินธุรกิจของบริษัทลูกอีกทอดหนึ่งด้วย ถือเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกที่อาจมีผลกระทบต่อธุรกิจก่อสร้างในประเทศ สืบเนื่องจากประเด็น พรบ. เงินกู้ 2 ล้านล้าน ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลโดยเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง แต่ ช.การช่าง มีความมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถมีรายได้ที่มั่นคงและมีผลประกอบการที่ดีต่อไป เนื่องจากมี backlog หรืองานในมือ มูลค่ามากกว่า 110,000 ล้านบาท สร้างรายได้ได้อีก ในช่วง 4-5 ปีนี้ รวมทั้งยังมีโครงการก่อสร้างที่รอลงนามอีก คาดว่าน่าจะสามารถสร้างรายได้อย่างน้อย 30,000 ล้านบาท ต่อปีและมีกำไรขั้นต้นประมาณร้อยละ 8-10”
ทั้งนี้ แผนการดำเนินงานในปี 2557 บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งในธุรกิจก่อสร้างและการลงทุนในบริษัทลูก ในส่วนของโครงการก่อสร้างนั้น ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการรอลงนามสัญญา เช่น โครงการโรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น เฟส 2 มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำบากใน สปป.ลาว มูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาท งานก่อสร้างเพิ่มเติมสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท และงานเพิ่มเติมอื่นๆ ในโครงการที่ดำเนินอยู่ สำหรับปี 2557 มีโครงการที่เตรียมยื่นประมูลอีก 3 โครงการ คือ 1) โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 19 กิโลเมตร 2) โครงการรถไฟทางคู่ คลอง 19 - แก่งคอย และ 3) โครงการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 มูลค่าทั้งหมดประมาณ 85,000 ล้านบาท
นอกจากโครงการในส่วนก่อสร้างแล้ว ในด้านของการการลงทุน คาดว่าทุกบริษัทในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ บริษทไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด จะเติบโตและสร้างรายได้ให้กับ ช.การช่าง เนื่องจากเป็นการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพทำให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจพลังงานที่ความต้องการใช้จะมากขึ้นเรื่อยๆ โดยบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) นั้นมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการดำเนินงาน คือ โครงการโรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น เฟส 2 โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำบาก และโครงการไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ใน สปป.ลาว ซีเค พาวเวอร์ ถือเป็นบริษัท flagship ด้านพลังงานของกลุ่ม ช.การช่าง ที่มีศักยภาพในการเติบโตด้วยรายได้ที่มั่นคงและอยู่ในธุรกิจที่มีการเติบโตสูง มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการพลังงานที่หลากหลายในต่างประเทศ สามารถบริหารความเสี่ยงและสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอให้กับกลุ่ม ช.การช่างได้
“สำหรับกลยุทธ์ของกลุ่ม ช.การช่าง ในอนาคต จะมุ่งเน้นการขยายฐานรายได้จากธุรกิจการลงทุนควบคู่ไปกับธุรกิจก่อสร้าง และจะมีการลงทุนในโครงการในกลุ่มประเทศเออีซีมากขึ้นในอนาคต โดยจะเป็นการลดความเสี่ยงจากปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อธุรกิจก่อสร้างภายในประเทศ ในปัจจุบันได้มีการลงทุนใน สปป.ลาว ในธุรกิจพลังงานค่อนข้างมาก และกำลังมีการศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ รวมทั้งธุรกิจก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้าน ที่เรามองว่ายังมีศักยภาพในการเติบโตอีกค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็น พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม” คุณปลิวกล่าวสรุป
ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมเดินสายโร้ดโชว์เพื่อพบปะและให้ข้อมูลแก่นักลงทุนโดยตรง โดยในวันที่ 21 มีนาคมนี้ ช.การช่าง และ บริษัท ซี.เค. พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) จะเดินทางไปพบนักลงทุนที่ประเทศสิงคโปร์ในงาน Thailand Corporate Day ที่จัดโดยบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด และในวันที่ 27 มีนาคม ก็จะเข้าร่วมงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเชื่อว่าน่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศเป็นอย่างดี