กรุงเทพฯ--28 มี.ค.--ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาเก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์
บริษัท แคนนอน อิงค์ สำนักงานใหญ่ประเทศญี่ปุ่น ฉลองความสำเร็จเผยมียอดการผลิตกล้องดิจิตอลคอมแพ็ค และกล้องดิจิตอลเปลี่ยนเลนส์ได้รวมกัน พุ่งทำสถิติทะลุ 250 ล้านเครื่องแล้ว ณ วันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา
แคนนอน ผู้ผลิตกล้องระดับโลกที่มีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจมาตั้งแต่ปี 1937 เริ่มผลิตและทำตลาดกล้องดิจิตอลของตัวเองในช่วงกลางทศวรรษ 90 ซึ่งขณะนั้นเป็นยุคที่กล้องฟิล์มยังเป็นที่ใช้กันแพร่หลาย โดยกล้องดิจิตอล SLR ระดับโปรรุ่น EOS DCS 3* ถือเป็นกล้องดิจิตอลรุ่นแรกที่แคนนอนผลิตออกมา
ในช่วงเวลานั้นเป็นยุคที่กล้องดิจิตอลคอมแพ็คกำลังเข้ามามีบทบาทมากภายในอุตสาหกรรมกล้อง และในปี 1996 แคนนอนก็ได้ประกาศลงเล่นในตลาดนี้ด้วยการเปิดตัวกล้องแคนนอน PowerShot 600 ในฐานะกล้องดิจิตอลคอมแพ็ครุ่นแรกของบริษัท จนมาถึงปี 2000 ท่ามกลางกระแสการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดกล้อง แคนนอนก็ได้เปิดตัวกล้องแคนนอน DIGITAL IXUS ซึ่งมาพร้อมบอดี้กะทัดรัด ดีไซน์สวยมีสไตล์ จนกลายเป็นเทรนด์ของกล้องดิจิตอลคอมแพ็คในยุคนั้น
กล้องรุ่นต่อๆ มาหลังจากนั้นของแคนนอนยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาประสิทธิภาพกล้องดิจิตอลคอมแพ็คให้รอบด้านยิ่งขึ้น ทั้งขนาดที่กะทัดรัดมากขึ้น น้ำหนักเบา มีความไวแสงสูง พร้อมฟังก์ชั่นออโต้ที่ทำงานได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีส่วนอย่างมากทำให้สินค้าของแคนนอนเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เห็นได้จากการที่แคนนอนมียอดการผลิตกล้องดิจิตอลคอมแพ็ครวมเกิน 100 ล้านเครื่องเป็นครั้งแรกในปี 2008 ก่อนจะพุ่งไปจนทะลุ 200 ล้านเครื่องในเดือนธันวาคม 2013 สำหรับในปี 2014 แคนนอนตั้งเป้าที่จะเดินหน้าไม่หยุดยั้ง ด้วยการเปิดตัวกล้องดิจิตอลคอมแพ็คไลน์ใหม่ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สนุกกับโลกของการถ่ายภาพมากขึ้น อาทิ กล้อง PowerShot G1 X Mark II ที่ออกแบบอย่างดีเพื่อให้ภาพถ่ายได้คุณภาพชั้นเลิศ และกล้องถ่ายภาพคอนเซปต์ใหม่ PowerShot N100
ทางด้านกล้องดิจิตอลชนิดเปลี่ยนเลนส์ได้ ถึงแม้ว่าตลาดสินค้ากลุ่มนี้ในช่วงกลางทศวรรษ 90 จะมีแต่กล้องสำหรับมืออาชีพ แต่ตั้งแต่ช่วงปี 2000 เป็นต้นมา ตลาดกล้องดิจิตอล SLR ก็ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วมาก โดยในปี 2000 แคนนอนได้ปล่อยกล้อง EOS D30 ออกสู่ตลาดในฐานะกล้องดิจิตอล SLR รุ่นมาตรฐานสายพันธุ์ใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้หลากหลายกลุ่มตั้งแต่นักถ่ายภาพที่พอมีฝีมือไปจนถึงผู้ใช้ระดับโปร และในปี 2003 แคนนอนก็ได้ประกาศความเป็นเจ้าตลาดอีกครั้งด้วยการเปิดตัวกล้องสำหรับผู้ใชระดับเริ่มต้นรุ่น EOS 300D ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มของการขยายตลาดครั้งสำคัญ
นับจากนั้น แคนนอนก็ได้เปิดตัวนวัตกรรมกล้องรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยพัฒนาสินค้าเหล่านี้จากจุดแข็งของแบรนด์แคนนอนทั้งในด้านเซ็นเซอร์ CMOS ชิปประมวลผลภาพ และเลนส์ตระกูล EF อาทิ กล้องซีรี่ส์ EOS-1 สำหรับนักถ่ายภาพมืออาชีพ และกล้องซีรี่ส์ EOS 5D สำหรับผู้ใช้ระดับกลาง รวมไปถึงกล้องระบบคอมแพ็คซีรี่ส์ EOS M ด้วยเหตุนี้เอง ในปี 2005 แคนนอนจึงมียอดการผลิตกล้องดิจิตอลชนิดเปลี่ยนเลนส์ได้รวม 25 ล้านเครื่อง ก่อนจะพุ่งทะลุเกิน 50 ล้านเครื่องในเดือนกุมภาพันธ์ 2014 โดยในจำนวนนี้ กล้องรุ่นที่ถือว่ามีส่วนไม่น้อยในการผลักดันความสำเร็จครั้งนี้ ได้แก่ กล้อง EOS 70D ที่มาพร้อมเทคโนโลยีออโต้โฟกัสแบบใหม่ Dual Pixel CMOS AF และกล้องสำหรับนักถ่ายภาพมือสมัครเล่นรุ่น EOS 100D ที่ผสมผสานจุดเด่นเรื่องของดีไซน์ที่กะทัดรัด น้ำหนักเบาเข้ากับประสิทธิภาพการใช้งานอันยอดเยี่ยมได้อย่างลงตัว
จากนี้เป็นต้นไป แคนนอนก็จะยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพไปพร้อมๆ กับการสร้างสรรค์เลนส์และกล้องถ่ายภาพที่มีคุณภาพชั้นเลิศเชื่อถือได้ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของนักถ่ายภาพตั้งแต่ผู้ใช้ระดับมือสมัครเล่นไปจนถึงช่างภาพมืออาชีพ และมีส่วนในการเผยแพร่วัฒนธรรมการถ่ายภาพและวิดีโอออกไปยังทุกภูมิภาคของโลก
* กล้อง EOS DCS 3 เป็นผลิตภัณฑ์ที่แคนนอนและบริษัทอีสต์แมน โกดัก ร่วมกันพัฒนาและจำหน่ายภายใต้แบรนด์โกดัก