กรุงเทพฯ--3 เม.ย.--วายแอลจี
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ราคาทองคำร่วงไปเกือบ 30% ในปี 2556 ที่ผ่านมานั้น ราคาทองคำได้เริ่มปรับตัวขึ้นมาได้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2557 โดยทำจุดสูงสุดในบริเวณ 1,391 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เนื่องจากความวิตกกังกลถึงความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนรวมไปถึงชาติตะวันตก อย่างไรก็ตามเมื่อความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้รุนแรงตามที่ได้กังวล ประกอบกับธนาคารกลางสหรัฐอเมริกายังมีแนวโน้มที่จะลดขนาดของวงเงินมาตรการคิวอีลงต่อเนื่อง ทองคำจึงถูกลดบทบาทจากความเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยลงมา ส่งผลให้เกิดแรงขายออกมาค่อนข้างมากจนหลุดบริเวณ 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ชะลอการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำปิดไตรมาสที่ 1 ไปที่ 1,283.64 ปรับตัวขึ้น 73.84 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 6.10% เมื่อเทียบกับต้นปี 2557
สำหรับไตรมาสที่ 2 นั้น นางสาวฐิภา กล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่จะเข้ามาชี้นำตลาดทองคำยังคงอยู่ที่ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ซึ่งมาตรการคิวอียังเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของราคาทองคำ นอกจากนี้ ประธานเฟดยังคงให้ความเห็นว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในระยะเวลา 6 เดือนต่อจากนี้ ส่งผลต่อตลาดทองคำได้มากพอสมควร ทั้งนี้ประเด็นอื่นๆอาจต้องติดตามความเคลื่อนไหวของนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) รวมถึงประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัฐเซียและยูเครนรวมถึงชาติตะวันตก หากมีประเด็นที่เพิ่มเติมขึ้นมา ย่อมส่งผลต่อทิศทางของราคาทองคำได้
นางสาวฐิภา กล่าวว่า สำหรับมุมมองด้านราคาทองคำนั้น วายแอลจีประเมินว่า หากราคาทองคำสามารถรักษาฐานที่บริเวณ 1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 18,100 บาทต่อบาททองคำได้ มีโอกาสที่จะดีดตัวขึ้นไปในโซน 1,400-1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ ประมาณ 21,500-22,200 บาทต่อบาททองคำ ทำให้การลงทุนในไตรมาสที่ 2 นั้น นักลงทุนระยะยาวอาจต้องรอจังหวะซื้อเมื่อราคาทองคำอ่อนตัวลงมาใกล้ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ ประมาณ 18,400 บาทต่อบาททองคำ และตัดขาดทุนหากราคาหลุด 1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ลงมา