กรุงเทพฯ--4 เม.ย.--กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เกษตรฯ จับมือสถานทูตไทยในอิสราเอลนำผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรดูงานโครงการพระราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือ เล็งสานต่อความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างสองประเทศ ด้านทูตชี้สินค้าเกษตรไทยมีอนาคต วอนหน่วยเกี่ยวข้องประสานกฎระเบียบการตรวจรับรองโรคตามหลักเกณฑ์ของอิสราเอลหวังขยายช่องทางการตลาดในอนาคต
นายสายเมือง วิรยศิริ ที่ปรึกษาศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รับการประสานความร่วมมือจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ รัฐอิสราเอล ในการจัดส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรของอิสราเอลในสาขาการบริหารจัดการน้ำ ดิน พืชสวน พืชไร่ และปศุสัตว์เข้ามาศึกษาดูงานการพัฒนาการเกษตรในโครงการพระราชดำริ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้การพัฒนาด้านการเกษตรระหว่างกัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางการเกษตรใหม่ๆ ที่ต้องถือว่าอิสราเอลเป็นประเทศอันดับต้นๆของโลกที่มีผลงานวิจัยด้านการเกษตรค่อนข้างมาก ดังนั้น จะเป็นโอกาสอันดีที่เจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่ทำงานอยู่ในโครงการพระราชดำริทางภาคเหนือของไทยสามารถนำวิวัฒนาการใหม่ๆ หรือแนวความคิดจากผู้เชี่ยวชาญของอิสราเอลมาต่อยอดและพัฒนาเกษตรกรของไทยมากขึ้น
สำหรับการศึกษาดูงานของคณะผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรของอิสราเอลในระหว่างวันที่ 31 มีนาคม - 4 เมษายน 2557 ประกอบด้วย การดูงานภายในศูนย์บริการและพัฒนาลุ่มน้ำปายตามพระราชดำริ ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตองตามพระราชดำริ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และศูนย์อำนวยการโครงการพัฒนาตามพระราชดำริ อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งทั้ง 3 แห่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงริเริ่มโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริทางการเกษตรที่มีคุณูปการต่อประชาชนและเกษตรกร และยังเป็นตัวอย่างของความสำเร็จของการขับเคลื่อนการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมในพื้นที่สูง โดยเฉพาะชาวไทยบนพื้นที่สูงต่างๆ ให้มีอาชีพ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยังสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนอีกทางหนึ่งด้วย
ด้านนายจักร บุญ-หลง เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่สถานทูตจัดทำโครงการนำนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรอิสราเอลมาศึกษาดูงานในโครงการพระราชดำริทางภาคเหนือในครั้งนี้นั้น มีเป้าหมายหลัก 3 ส่วนด้วยกัน คือ 1. เปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความรู้ด้านการเกษตรระหว่างสองประเทศ และสามารถขยายความร่วมมือทางวิชาการเกษตรในอนาคต 2. เผยแพร่โครงการพระราชดำริตลอดจนพระอัจฉริยะภาพทางด้านการเกษตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนและเกษตรกรในถิ่นทุรกันดารได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นผ่านสื่อมวลชนของอิสราเอล เพื่อให้ชาวคนอิสราเอลได้รับทราบข้อมูลโครงการพระราชดำริเพิ่มมากขึ้น และ 3. ทำให้ชาวอิสราเอลรู้จักแหล่งท่องเที่ยวทางภาคเหนือของไทยเพิ่มขึ้น
"ประเทศไทยถือเป็นประเทศหนึ่งที่ชาวอิสราเอลให้ความสนใจ โดยในแต่ละปีชาวอิสราเอลมาเที่ยวประเทศไทยเฉลี่ยปีละ 130,000 - 140,000 คน และมีความชื่นชอบในอาหารไทย โดยเฉพาะผลไม้ไทยเป็นอย่างมาก เช่น มังคุด ลิ้นจี่ ลำไย สับปะรด รวมถึงกล้วยไม้ไทย ที่ปัจจุบันอิสราเอลนำเข้ากล้วยไม้ไทยผ่านทางประเทศเนเธอร์แลนด์ ดังนั้น ถือเป็นโอกาสของสินค้าเกษตรไทยที่สามารถส่งออกไปยังอิสราเอลเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากข้าวที่อิสราเอลนำเข้าข้าวจากไทยเป็นอันดับหนึ่ง แต่สิ่งที่เป็นปัญหาอุปสรรคในขณะนี้ คือ ผู้ส่งออกของไทยยังไม่ทราบถึงหลักเกณฑ์ กฏระเบียบการกักกันโรคแมลงศัตรูพืชที่ต้องมีการตรวจสอบก่อนการส่งออก ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรจะเข้ามามีบทบาทในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดสินค้าเกษตรของไทยไปยังอิสราเอลรวมถึงกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง หรือสหภาพยุโรป โดยมีอิสราเอลเป็นฐานการกระจายสินค้าไปยังประเทศดังกล่าวในอนาคตด้วย" นายจักร กล่าว.