กรุงเทพฯ--19 ธ.ค.--สหมงคลฟิล์ม
“ข้าวเหนียวหมูปิ้ง”(Bite of Love)
กำหนดฉาย 12 มกราคม 2549 ต้อนรับวันเด็ก
ประเภทภาพยนตร์ ชีวิต/สนุกสนาน/ซาบซึ้งสำหรับทุกครอบครัว ดราม่า/คอมิดี้/แฟมิลี่
สร้างและจัดจำหน่ายโดย สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล
กำกับภาพยนตร์ ศิวาภรณ์ พงษ์สุวรรณ
อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควบคุมงานสร้าง ปรัชญา ปิ่นแก้ว/สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์
บทภาพยนตร์ ศิวาภรณ์ พงษ์สุวรรณ
กำกับศิลป์ สมโภชน์ สลักทอง
กำกับภาพ เดชา ศรีมันตะ
ดนตรีประกอบ เกษมสันต์ พรหมสุภา, วัชรินทร เฟื่องชูนุช
ออกแบบเสียง เกษมสันต์ พรหมสุภา, ไพสิฐ พันธุ์พฤกษชาติ, เฉลิมชาติ เจริญดียิ่ง
ลำดับภาพ ศิวาภรณ์ พงษ์สุวรรณ, ธนาคม ชราปธีป
เพลงประกอบ เกษมสันต์ พรหมสุภา,วัชรินทร เฟื่องชูนุช
นักแสดง
ด.ญ. นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ, พัชรศรี เบญจมาศ (กาละแมร์), เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์ (แจ๊ค แฟนฉัน), ดารุณี กฤตบุญญาลัย, เนาวรัตน์ ซื่อสัตย์,มารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา, วิญญู จันทร์เจ้า ร่วมด้วย นักแสดงรับเชิญอย่าง นุ่น สินิทธา บุณยศักดิ์, ณัฐวุฒิ ศรีหมอก (ฟักกลิ้งฮีโร่ จาก สิงห์เหนือเสือใต้) , สันติ แต้พานิช และนักแสดงหน้าใหม่อย่าง ด่าง(สุนัข) กับ สิงโต(สุนัข),พรหมพร ยูวะเวส
คู่นี้หนุงหนิงแนบแน่นไม่ใช่แฟนแต่มากกว่าเพื่อน เรื่องเล่ามิตรภาพของเด็กหญิงวัย 8 ขวบกับเจ้าDog ตัวจิ๋ว หนีบลูกซึ้งส่งเสียง โฮ่ง โฮ่ง เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคุณกะเทาะสายใยแห่งมิตรภาพความรู้สึก ที่ครั้งหนึ่งเด็ก ๆทุกคนเคยมีให้กับเพื่อนแท้ 4 ขา
สำหรับ “ข้าวเหนียว” (เกรซ-นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ)แล้วการที่จู่ ๆแม่บี (นุ่น สินิทธา บุณยศักดิ์) ก็เอาข้าวเหนียวมาฝากไว้ที่บ้านญาติ ๆ ไม่ทันตั้งตัว ข้าวเหนียวอดน้อยใจแม่บีไม่ได้ จริง ๆนะ ถึงแม้ว่าในบ้านหลังใหม่จะมีญาติ ๆ ของแม่อยู่กันตั้งหลายคน ไม่ว่าจะเป็นยายอุ่น(มารศรี อิศรางกูร ณ อยุธยา) ป้าเกด (เนาวรัตน์ ซื่อสัตย์)อาเปี๊ยก(เปี๊ยกดีเจสยาม) แต่ทำไมนะข้าวเหนียวยังรู้สึกเหงาอยู่เลย ก็คงมีน้าเล็ก(พัชรศรี เบญจมาศ -กาละแมร์)นี่แหละ ที่ข้าวเหนียวรู้สึกสนิทหน่อยอาจจะเป็นเพราะน้าเล็กแกคงรู้ว่าข้าวเหนียวเหงาและอดคิดถึงแม่ไม่ได้นั่นเอง
เหมือนอย่างเคยวันนี้ข้าวเหนียวโดดเรียนอีกแล้ว ข้าวเหนียวเดินเรื่อยเปื่อยไปแถวสยามเห็นคนซื้อหมูปิ้ง แต่ที่น่าแปลกใจมีเจ้าหมาน้อยตัวสีน้ำตาลท่าทางมันดูน่าสงสารเหมือนข้าวเหนียวเลย มันคงหิวนะ เห็น ส่งเสียงร้องขอกินหมูปิ้งจากคนขายและคนซื้อที่ยืนอยู่ ดูๆ ไปข้าวเหนียวว่าหน้าตามันตลกดี ปากมอมๆ สีดำ ท่าทางน่ารักจัง คิดแล้วก็อยากเป็นเพื่อนกับมัน
ข้าวเหนียวเลยตัดสินใจอุ้มมันใส่กระเป๋าเอากลับไปบ้านด้วยดีกว่า อย่างน้อยถึงมันไม่มีใครมันก็ยังมีข้าวเหนียว เอางี้นะ ข้าวเหนียวจะตั้งชื่อมันว่า “หมูปิ้ง” “ข้าวเหนียวกับหมูปิ้ง” ฟังดูน่ารักดี แต่ไม่ใช่ว่าข้าวเหนียวจะเลี้ยงหมูปิ้งได้ง่าย ๆ นะ เพราะน้าเล็ก เคยบอกว่า ที่บ้านคับแคบแล้วยายอุ่นเองก็แพ้ขนหมาด้วย คงเลี้ยงหมาไม่ได้ ยังไงก็ตามข้าวเหนียวจะไม่มีวันทิ้งหมูปิ้ง ข้าวเหนียวตัดสินใจเอามันขึ้นไปเลี้ยงบนดาดฟ้าดีกว่า เวลาหมูปิ้งส่งเสียงจะได้มีใครรู้ และทุกๆ วันข้าวเหนียวก็จะเอาหมูปิ้งใส่กระเป๋าไปโรงเรียนด้วยกัน อีกอย่างข้าวเหนียวไม่อยากให้หมูปิ้งอยู่คนเดียว เพราะแถวบ้านชอบมีพวกจับหมามาด้อมๆ มองๆ ด้วย แต่แล้ววันหนึ่งฝนตกหนักมาก หมูปิ้งที่อยู่บนดาดฟ้าเลยไม่สบาย ข้าวเหนียวตัดสินใจทุบกระปุกพี่หมูเอาเงินพาหมูปิ้งไปหาหมอ
หลังจากนั้นที่บ้านก็รู้กันว่าข้าวเหนียวแอบเลี้ยงหมูปิ้ง น้าเล็กบอกว่ายายอุ่นแพ้ขนหมา จะเอาหมูปิ้งไปปล่อย แต่ข้าวเหนียวขอร้องไว้ว่ารอให้มันหายจากไข้ก่อนได้ไหมน้าเล็ก แม่บีจ๋า ข้าวเหนียวคิดถึงแม่บีจัง เมื่อไรแม่บีจะกลับมา น้าเล็กจะเอาหมูปิ้งไปปล่อยไหมเนี้ยะ
ติดตามเรื่องราวความผูกพันและการผจญภัยของข้าวเหนียวกับหมูปิ้ง ที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น เพราะยังมี เขาดิน (แจ๊ค แฟนฉัน) คุณนายสายป่าน(ดารุณี กฤตบุญญาลัย)ที่รักหมาทุกตัวบนโลกใบนี้ รวมทั้งแก๊งค์ขายพวงมาลัย เราเชื่อว่ารับรองคุณจะประทับใจและซาบซึ้งไปกับข้าวเหนียวหมูปิ้ง 12 มกราคมนี้ ต้อนรับวันเด็กทุกโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ
กว่าจะมาเป็น “ข้าวเหนียวหมูปิ้ง” (Production Note)
ปาฏิหาริย์หรือความมหัศจรรย์มักเกิดขึ้นได้เสมอโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนแผ่นฟิล์ม และมันได้เกิดขึ้นแล้วกับ “ข้าวเหนียวหมูปิ้ง”ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดในแนวดราม่าซาบซึ้งใจ จากสหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล ที่ถ่ายทอดความผูกผันระหว่างเด็กหญิงวัย 8 ขวบกับเจ้าลูกสุนัขที่ชื่นชอบในการกินหมูปิ้งเป็นชีวิตจิตใจ กล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้สัมผัสกับภาพยนตร์ไทยที่ถ่ายทอดความผูกผันระหว่างเด็กกับสุนัขโดยหยิบเอเรื่องราวจริงของสุนัขมาขึ้นจอ คงต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะมีใครสักคนลุกขึ้นมาสร้างหนังที่มีตัวเอกเป็นเด็กและสุนัขและแน่นอนว่าคงไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักสำหรับวงการภาพยนตร์ไทย อย่างที่รู้กันว่า “สัตว์ เด็ก เอฟเฟ็คต์ สลิง”ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผู้สร้าง และผู้กำกับ นำมาซึ่งปัญหา108 ประการในการถ่ายทำ เพราะการกำกับสุนัขไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบ้านเรายังไม่มีตัวเลือกที่เป็น “นักแสดงสุนัข” รวมไปถึง “โรงเรียนฝึกสุนัขเพื่อนำมาเล่นหนังโดยเฉพาะ” มากนักกอปรกับผู้กำกับที่จะเข้าใจธรรมชาติและรับมือกับโจทย์ที่เป็นนักแสดง 4 ขา ที่ไม่เพียงอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย ครั้นจะไปนึกถึงวิธีการกำกับ เพื่อที่จะสื่อสารให้ เจ้า Dogเล่นกับกล้อง หรือถ่ายทอดแง่มุมความรู้สึกทางอารมณ์ให้คนดูจับต้องได้ละก็เลิกคิดได้เลย และเมื่อนึกถึงการถ่ายทำด้วยฟิล์มภาพยนตร์ที่จะต้องบันทึกภาพให้เกิดเป็นเรื่องราวจะต้องใช้จำนวนฟิล์มากมายมหาศาลขนาดไหน
“เราใช้ฟิล์มไปทั้งหมดประมาณ 413 ม้วน ซึ่งถามว่าเยอะไหม เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ทั่วไป ก็ถือว่าระดับปกติ แต่สำหรับหนังเด็กและหมา ตอนแรกเราคาดการณ์ว่าต้องมากกว่านี้แน่ๆ ดังนั้นนี่จึงถือว่าต่ำกว่าปกติสำหรับหนังหมาและเด็ก ซึ่งก็คงต้องขอบคุณหมาและเด็กที่ไม่กินฟิล์มมากนัก”
คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครสักคนจะลุกขึ้นมากำกับถ้าไม่เข้าใจในโจทย์ที่จะทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านี่คือหนังเรื่องแรกในชีวิต ศิวาภรณ์ พงษ์สุวรรณ ผู้กำกับหญิงที่คลุกคลีและคร่ำหวอดอยู่ในวงการภาพยนตร์มานับ 10 ปีโดยเริ่มต้นจากการเป็น 1 ในทีมเขียนบทภาพยนตร์อย่าง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว”และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์อย่างสยิว, เฟกโกหกทั้งเพ ,เอ็กซ์แมนแฟนพันธ์เอ็กซ์,เฉิ่ม ,เดอะสเปิร์ม ในฐานะโปรดิวเซอร์พูดถึงงานกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิตซึ่งหยิบเอาเรื่องราวความผูกพันระหว่างตัวเองกับสุนัขบางส่วนในชีวิตจริงมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์
หลังจากโปรดิวซ์หนังมา4-5 เรื่อง ก็เริ่มนึกถึงเรื่องที่เรามีในใจและอยากจะสร้างค่ะ ความจริงมีอยู่หลายเรื่อง แต่เลือกเรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องแรกและอยากทำที่สุดออกมาก่อน ก็คือ “ข้าวเหนียวหมูปิ้ง” ไม่ใช่เพราะเป็นหนังเด็ก แต่เพราะมีหมาเล่น คือเป็นคนชอบหมาอยู่แล้ว ที่บ้านแม่เลี้ยงหมา 13ตัวและแมวอีก 2 ตัว สมัยก่อนก็เคยอยากจะทำหนังหมาคือทั้งเรื่องมีแต่หมาและเป็นเรื่องของหมาล้วนๆ มีคนเล่นด้วยนะ แต่ไม่เห็นหน้า จนกระทั่งได้มีโอกาสเสนอ พี่ปรัช (ปรัชญา ปิ่นแก้ว) และเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ โดยได้แรงบันดาลใจจากบางส่วนในชีวิตจริงของเราที่เคยผูกผันกับหมาข้างถนนที่เราเคยพบที่สยามสแควร์เพมื่อ 5-6 ปีก่อน
ก็เรียกมันว่า “ขาว” ทุกครั้งที่เจอก็จะให้อาหารมัน ตั้งแต่เป็นหมาสาวสวยกระทั่งมันนมยาน มีลูก หน้าตาก็ทรุดโทรม แต่ไม่เคยเห็นลูกมันเลยนะ คิดว่ามันคงออกลูกมาแล้วตายหมดแล้ว แล้วเจ้าขาวก็ฉลาด น่ารักมาก เห็นมาหลายครั้ง เลยอุ้มกลับบ้านกลับน้องชายซะเลย เอาขึ้นแท็กซี่ไป พอถึงบ้าน มันก็กระวนกระวายไม่อยากอยู่บ้าน พยายามจะหนีออกจากบ้านทุกวัน เราก็นึกว่ามันคงคิดถึงบ้านมัน ที่นี่ไม่ใช่ พอวันที่ 3 มันหนีได้สำเร็จแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย ไปดูแถวบ้านก็ไม่พบ
กระทั่งอีก 7 วันต่อมา พบมันนอนอยู่ตรงบันไดสะพานลอยรถไฟฟ้าหรือแถวหน้าลิโด้นี่ละ รู้สึกตกใจมาก เพราะไม่รู้ว่ามันเดินทางกลับมาได้อย่างไร จากฝั่งธน จรัญสนิทวงศ์มาถึงสยามแสควร์ แล้วมันไม่ได้นั่งดูกระจกเลยนะ มันรู้ทางได้ไงไม่รู้ เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากพอมันเห็นเรามันก็กระโดดกอดเรา จากนั้นมันก็เดินไปเรื่อยๆ เราเลยเดินตามมันไปฝั่งตรงข้ามคือ ข้างๆ พิซซ่าฮัทสยามเซ็นเตอร์สมัยก่อน ตรงนั้นจะมีศาลพระภูมิ มีสวนหย่อม มีบ่อบัวเล็กๆ และมีลูกวัยกระทงของขาว 3 คัว ซึ่งหย่านมแล้วค่ะ แต่มันก็ยังรักลูกของมันอยู่ และที่มันกลับมาก็เพราะลูกของมันนั่นเองค่ะ ตอนนั้นรู้สึกอึ้งไปเลย แต่ต่อมา ขาวก็ออกลูกมาอีก 1 ครอก อยู่ใต้ถุนบันไดสยามฯ ตอนที่มันออกลูกใหม่ๆ มันแทบจะไม่กล้าห่างจากลูกของมัน จะหากินทีก็ต้องรีบกลับมา อันนี้สังเกตดูค่ะ พอเวลาเราผ่านไปแถวนั้น เราก็จะเอาข้าวใส่ถุงไปให้มันค่ะ เพราะเห็นว่ามันห่วงลูกไม่กล้าไปไกล ต่อมาขาวก็หายไป ลูกๆของมันครอกแรกก็ค่อยๆหายไปทีละตัว อาจจะป่วยตายไป หรือได้รับอุบัติเหตุ จนเหลือแค่ ด่าง เพียงตัวเดียว เวลาเจอด่างก็จะทัก และก็เอาอาหารให้มันบ้าง เมื่อก่อนมันจะนอนอยู่ประจำที่หน้าร้าน โอบองแปง สยามดิสฯ ยามจะไล่มันตลอด ตอนหลังเลยอุ้มด่างกลับบ้านค่ะ และอีก 4 ปีต่อมา ด่างก็ได้เล่นหนังเรื่อง “ข้าวเหนียวหมูปิ้ง” รับบทของแม่มันเองค่ะ สรุปว่าหนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของหมา!
เพื่อถ่ายทอดภาพเหตุการณ์เรื่องราวต่าง ๆ จากจินตนาการและความคิดของผู้กำกับที่เกิดจากแรงบันดาลใจในความผูกผันที่มีต่อเจ้าเพื่อนแท้ 4 ขา ทำให้ภาพยนตร์เรื่องข้าวเหนียวหมูปิ้งมีตัวละครที่เป็นสุนัขซึ่งผ่านการคัดเลือกจากมือของผู้กำกับโดยตรง
นักแสดงหมาในเรื่องทั้งหมดที่เป็นตัวเด่นมี 3 ตัวค่ะ คือ ด่าง แสดงเป็นแม่ของหมูปิ้ง, หมูปิ้งแสดงเป็น หมูปิ้งตอนเด็ก, สิงโตแสดงเป็น หมูปิ้ง ตอนโตหรืออเล็กซ์ค่ะ เราใช้หมาของตัวเองมาเล่นหมดเลยค่ะ อันนี้ไม่ต้องแคสติ้งเลย เพราะคิดไว้แต่แรกแล้ว ว่าจะใช้พวกเขา อย่างเช่น ที่เลือก “ด่าง” มาเล่น เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงของแม่เขาเอง ส่วน “สิงโต” ที่จะเล่นเป็นพระเอกคือ “หมูปิ้ง” นี่ สิงโตเขาจะมีความหล่อและมีมาดพระเอกอยู่แล้ว จะนิ่งๆ คูลๆ ซึ่งการที่เราใช้หมาของเราเองจึงกล่าวได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบที่จะทำให้เรารู้จักตัวตนของนักแสดงหมาได้ดีที่สุด เข้าใจคาแร็กเตอร์ของเขา รู้ว่าจะถ่ายทอดเสน่ห์ของเขาอย่างไร รู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยากับสิ่งใดบ้าง ส่วนลูกหมาที่เล่นเป็นหมูปิ้งตอนเด็กนั้น ทีมงานเราไปตระเวนหากันหลายที่ค่ะ ทั้งจุดที่ขายสุนัขและหมาวัด หมาข้างถนนทั่วไป เราหากันมานาน ตอนที่ได้หมูปิ้งเด็กมา เขาเป็นลูกหมาวัดค่ะ มีชื่อด้วย ชื่อ สิงโต เหมือนกับพระเอกตอนโตเลย แต่พอเราเอามาเลี้ยงที่กอง เราก็เปลี่ยนชื่อเป็น หมูปิ้ง เพื่อให้เขาคุ้นกับชื่อ ซึ่งพอเราได้มาแล้ว จะถ่ายทำเลยก็ไม่ได้ ต้องดูอาการสัก 4-5 วันว่าป่วยมั้ย เป็นโรคลำไส้หรือเปล่า และมีนิสัยอย่างไร เพื่อจะได้กำกับได้ถูก ซึ่งหมูปิ้งก็เป็นหมาที่เกิดมาเพื่อเป็นนักแสดงโดยแท้ เพราะว่าแสดงได้ถูกอกถูกใจทีมงานมาก เก่งมาก
ฉลาดมาก 3 วัน ก็รู้แล้วว่าตัวเองชื่อ หมูปิ้ง และที่สำคัญหมูปิ้งมีหน้าตาเหมือนกับสิงโต(พระเอก)ตอนเด็กมากถึง 90 % ค่ะ หมาที่มาเล่นหนังเรื่องนี้ ก็เป็นหมาไทยพันทางที่เก็บมาจากข้างถนน ซึ่งมันมีบุคลิกและคาแร็กเตอร์ที่น่าสนใจมาก อย่างเช่น “ด่าง” ก็จะเป็นหมาที่มีหน้าตาแบบที่เราเรียกว่า “หน้าดราม่า” ค่ะ คือหน้าตาเธอจะน่าสงสารได้ใจเอามากๆ และพอเล่นหนังก็เล่นได้ดีจนพวกเราทึ่งกันเป็นแถว จากที่กังวลว่ามันจะเล่นได้ไหม จะถ่ายทำยากไหม ปรากฏว่ามันเล่นได้ค่ะ วันแรกอาจจะไม่ดีนัก แต่พอวันที่สอง เหมือนมันรู้แล้วว่า “มันกำลังเล่นหนังอยู่” มันไม่รู้หรอกค่ะว่าหนังคืออะไร แต่เราคิดว่ามันรู้ว่าสิ่งที่มันกำลังทำอยู่นี้ ไม่ใช่ชีวิตปกติค่ะ เพราะต้องทำซ้ำหลายหนมาก บางครั้งตอนเช้าทำไม่ได้ แต่ตอนบ่ายทำได้แล้ว หรือว่าวันนี้ทำไม่ได้ อีกหนึ่งอาทิตย์มันก็สามารถทำได้ แล้วบางวันมันไม่เข้าใจคำสั่ง แต่เราก็รู้สึกว่ามันพยายามจะสื่อสารกับเราค่ะ อันนี้เราไม่ได้รู้สึกคนเดียว มีอีกหลายคนก็รู้สึกเช่นเดียวกับเราค่ะ
ขนาดนักแสดงยังต้องมีการฝึกการทำ work shop แล้วอย่างนักแสดงสุนัขจะต้องมีการฝึกไหม ศิวาภรณ์ให้คำตอบได้อย่างน่าคิดที่ว่า
เราว่าหมาไม่เหมือนกับคน กับนักแสดงคนเรายังพูดรู้เรื่อง อธิบายให้เขาเข้าใจได้ แต่อย่างหมานี่
เราต้องเอาตัวเข้าแลก ต้องเข้าใจเขา และก็ถ่ายทอดสิ่งที่เขาเป็นออกมาให้ได้ ถ้ารู้จักนิสัยเขา เข้าใจเขา มันก็ง่ายขึ้น
สำหรับด่างและสิงโตจะส่งไปฝึกที่ ด็อกกี้ดู (DOGGIE DOO) แยกกันฝึก ด่างฝึกก่อนแสดงประมาณ
2 เดือนครึ่ง ที่ต้องฝึกเป็นพิเศษก็คือ ให้ด่างคาบถุงใส่อาหารตามที่บทเขียนเอาไว้ นอกนั้นอย่างอื่นก็ให้มันเล่นตามฟีล ของมันค่ะ ส่วนบทของ สิงโต ซึ่งเล่นเป็นหมูปิ้งตอนโต จะยากกว่า เพราะว่าต้องเข้าบทกับคนเยอะ แล้วก็ต้องมี reaction ที่พิเศษและจำเป็นต่อการเล่าเรื่องเยอะมาก ซึ่งยากกว่ามาก และต่างจากด่าง ที่จะแค่วิ่งๆ เดินๆ ทำหน้าเศร้าไปวันๆ ส่วน สิงโต ส่งไปฝึกประมาณ 3 เดือนค่ะ ในส่วนของ สิงโต เวลาถ่ายทำก็จะมีครูฝึกสุนัขมาออกคำสั่งด้วยค่ะ แต่สำหรับลูกหมานี่ฝึกไม่ได้นะคะ ต้องถ่ายทำตามที่เขาเป็น แล้วเขาจะมีชั่วโมงมหัศจรรย์คือ ตั้งแต่ตีสี่ถึง 8 โมงเช้าจะตื่นมาก วิ่งตลอด พอสัก 9 โมงจะเริ่มแบ็ตหมด ชักง่วงแล้ว ไม่เดิน จะนิ่งๆ แล้วก็หลับไปเลย แล้วลูกหมานี่เวลานอนจะปลุกไม่ตื่น จะโลว์แบ็ตแล้ว หมดสภาพโดยปริยาย บางวันพอเราจะถ่ายฉากเล่น เขากลับง่วง ก็ต้องเปลี่ยนเป็นฉากนอน ฉากป่วยค่ะ พอเราจะถ่ายฉากนอนแต่เขาตื่น ก็ต้องปรับเป็นฉากที่หมูปิ้งกับข้าวเหนียวเล่นด้วยกัน อะไรแบบนี้ น้องเกรซก็มึนไปเลยค่ะ นอกจากตากล้องและทีมงานจะต้องเปลี่ยนมุม เปลี่ยนเซ็ตแล้ว นักแสดงยังต้องไปเปลี่ยนชุดมาใหม่ด้วยค่ะ ดั้งนั้นฉากนอน ฉากกินนี่ หมูปิ้งถนัดมาก! กว่าจะออกมาเป็นภาพอย่างที่เห็นนี่ก็ต้องช่วยกันหลายฝ่ายค่ะ เพราะต้องช่วยกันหลอกล่อหมาสุดฤทธิ์ คนละไม้ คนละมือ วิธีถ่ายมันในเรื่องนี้ก็คือ เราสร้างสถานการณ์แล้วให้เขาเล่นตามฟีลของเขา เขียนบทไว้คร่าว ๆ แต่ไม่ถึงกับบอกว่า ต้องหันหน้ามาทำอารมณ์ความรู้สึกหรือทำอะไรพิสดาร ไม่ใช่ นั่นมันเกินไป ทำไม่ได้หรอก ถึงทำได้ มันก็จะออกมาแห้งๆ แข็งๆ คือทำตามคำสั่ง แต่ไม่มีความรู้สึก มันจะดูหลอกๆ ไม่จริง แต่ด้วยคาแร็กเตอร์ของนักแสดงหมาที่เราเลือกมา จะทำให้มันแสดงออกมาให้เห็นในหนังอย่างนั้นอยู่แล้วค่ะ เพราะเรารู้จักมันค่ะ
ส่วนฉากที่ยากที่สุด และเป็นฉากที่กังวลที่สุดในหนังก็คือ ฉากที่พระเอกจะต้องวิ่งข้ามสี่แยกพระรามเก้า สี่แยกใหญ่ที่ตัดกับเส้นเอกมัยน่ะค่ะ เป็นฉากใหญ่ที่สุดในหนัง เพราะเราต้องปิดถนนระหว่างถ่ายทำด้วย แล้วสี่แยกนั้นใหญ่มาก รถเยอะ แถมบางทียังมีรถลักไก่คือด้วย บางทีฝ่าไฟแดง แซงกัน น่ากลัวมาก ขนาดข้ามถนนยังงงกับไฟแดงเลย ก็กลัวผิดคิวแล้วเกิดอุบัติเหตุค่ะ เราจะไม่ถ่ายจนกว่าจะมั่นใจว่าถ่ายได้แล้ว หมาทำได้แน่ เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริงๆ มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับหมา แต่อาจจะเกิดขึ้นกับคนก็ได้ ซึ่งก่อนถ่ายทำ เราก็คุยกับคุณโจ้ ครูฝึกของด็อกกี้ดู ว่าจะฝึกกันอย่างไร สรุปคือ มีการฝึกวิ่งระยะไกลโดยใช้สายจูงยาวที่รร. และควรจะมาฝึกสถานที่จริงด้วย เพื่อให้รู้ไลน์ของการวิ่ง ว่าจะวิ่งไปทางทิศไหน แต่การมาฝึกในสถานทิ่จริงมันยาก เพราะรถวิ่งตลอดเวลา วันแรกที่มาทดลองฝึก เป็นเช้าวันพุธปรากฏว่ารถเยอะมาก ทั้งที่เป็นตอนตี 5 เราก็คิดว่ารถจะน้อย แถมยังมีอุบัติเหตุต่อหน้าเลย ไม่ฝึกแล้วกลับบ้านเลย จากนั้นก็กลับมาฝึกวันเสาร์-อาทิตย์อีก 3 ครั้ง ก็เริ่มถ่ายจริง ซึ่งวันถ่ายจริงพอเทคที่ 2 ก็ทำได้ค่ะ ปลื้มมาก อยากจะลงไปกราบมันเลย แต่เราก็ถ่ายต่ออีก7 เทคนะคะ เผื่อเอาไว้ ปรากฏว่าเทคที่ดีที่สุดน่ะมีครั้งเดียว วันนั้นเราถ่าย 2 กล้องด้วย ภาพที่ออกมาก็โอเคมาก เท่มากเลย
ซึ่งนอกจากเรื่องราวที่น่าสนใจที่เป็นเรื่องจริงของผู้กำกับที่เกี่ยวกับความผูกผันที่มีต่อสุนัขแล้ว อีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เกิดเป็นหนังเรื่องข้าวเหนียวหมูปิ้งที่จะมองข้ามไม่ได้เลยก็คืออีกหนึ่งเรื่องราวคู่ขนานที่เดินเรื่องควบคู่กันไปซึ่งเป็นกระจกสะท้อนถึงน้ำหนักของสิ่งที่เรียกว่า “มิตรภาพ” อันนำไปสู่ความหมายของคำว่า “เพื่อนแท้”ที่ต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน
“สำหรับเรื่องราวของข้าวเหนียวหมูปิ้ง เป็นการพูดถึงมิตรภาพความรักความผูกพันระหว่าง เด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบที่แม่มาฝากไว้ที่บ้านญาติ ด้วยความเหงาและไม่สนิทกับใครในบ้าน ทำให้ตัวเด็กได้ไปเจอหมาจรจัดตัวหนึ่ง ก็เลยตัดสินใจเก็บมาเลี้ยงเมื่อเด็กกับหมาที่ถูกทอดทิ้งมาเจอกัน ก็เหมือนเติมเต็มกัน ผูกพันรักใคร่จนเกิดเป็นมิตรภาพ ซึ่งเรามีพล็อตเรื่องนี้มา 3 ปีแล้ว ก็เขียนโครงคร่าวๆไว้ ยังไม่ได้ทำเป็นบท กระทั่งได้เจอน้องเกรซ (นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ) เห็นน้องเกรซเหน็บลูกหมาไว้ที่รักแร้มันชื่อ เจ้าบอส เป็นพันธุ์ปอมเมอเรเนียน แล้วเดินไปเดินมา รู้สึกประทับใจมาก เพราะไม่เคยเห็นเด็กที่ไหนเหน็บหมา คนนี้เลิศมาก คิดได้ไง ปกติจะมีแต่อุ้มลูกหมากันใช่ไหมคะ ก็ถ้าหนังเราได้สร้าง ก็อยากจะได้น้องเกรซมาเล่นเป็น ข้าวเหนียวเด็กผู้หญิงที่มีหมาชื่อหมูปิ้งเป้นเพื่อนแต่ในเรื่องนี้ น้องเกรซ ไม่สามารถเหน็บ หมูปิ้ง ที่รักแร้ได้นะคะ เพราะว่าตัวมันอ้วนมาก เหน็บไม่ไหว”
และแน่นอนว่าการทำงานกับน้องเกรซ นวรัตน์ เตชะรัตนประเสริฐ ที่ผ่านบทดราม่าหนักๆ มาแล้วจากเอ๋อเหรอ ก็ไม่ได้ทำให้ผู้กำกับใหม่อย่างศิวาภรณ์ต้องหนักใจ แต่กลับกลายเป็นว่างานทุกอย่างออกมาได้อย่างราบรื่นจนลืมไปว่า หนังเรื่องนี้มีข้อห้ามในบรรดากฎเหล็กของคนทำหนังถึง 2 ข้อจาก 4 ข้อที่ว่า สัตว์ เด็ก เอฟเฟ็คต์ สลิง
“รู้สึกว่าโชคดีที่เป็นเขา เพราะเหมือนเขาทำฝันเราให้เป็นจริง คือไม่รู้ว่าเด็กคนอื่นเป็นไง แต่เด็ก 8 ขวบ
(ตอนที่ถ่ายทำ) พูดจารู้เรื่อง ตั้งใจทำงาน มีความรับผิดชอบมากน่ะ คงไม่เป็นกันทุกคน เราทำงานกับเกรซเหมือนเราทำงานกับผู้ใหญ่นะ เพราะว่าระบบการทำงานไม่ต่างกันเลย ในความเห็นของผู้กำกับนะคะ เกรซเป็นเด็กมหัศจรรย์มากค่ะ ไม่เคยบ่นเลย แล้วก็ตั้งใจทำงานมาก ๆ ตั้งใจเรียนด้วย ไม่ยอมขาดเรียนเด็ดขาด ดังนั้นเราจึงถ่ายเกรซได้เฉพาะเสาร์อาทิตย์เท่านั้น ซึ่งเกรซก็จะมากองแต่เช้า แล้วก็ถ่ายกันจนเย็น บางวันเราอาจจะเกินไปถึง 3 ทุ่ม แต่เกรซก็ไม่เคยบ่น บางวันอากาศร้อนมาก เกรซปวดหัว แต่ไม่เคยงอแงเลยค่ะ แล้วบางทีถ่ายตอนเย็นแล้วบนดาดฟ้า แต่พื้นดาดฟ้ายังร้อนอยู่ เกรซก็ยอมเล่นแต่โดยดีค่ะ อดทนค่ะ อดทน อันนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งนะคะ ถึงสปิริตในการทำงานของเกรซ บางครั้งถ่ายทำบนดาดฟ้า เกรซจะบ่นว่า พี่เปิ้ลเกรซปวดหัว แดดมันร้อน แค่นั้นเอง แต่ไม่งอแงเลย ตอนช่วงหลังของการทำงานก็จะมีเด็กอายุรุ่นๆเกรซ เล่นด้วยอีกหลายคน แต่ไม่มีใครสู้เกรซได้เลย ในแง่ของการทำงานและสปิริตในการแสดง คือมันน่าประหลาดใจมาก ที่เด็กอายุ 8 ขวบจะเข้าใจเรื่องการถ่ายหนัง การทำงาน การรู้จักเกรงใจทีมงานได้มากขนาดนี้ เด็กบางคนแบบว่าอายุมากกว่าเกรซ 2 ปี แต่ถ่ายไปสักพัก ช่วงบ่ายๆเริ่มแล้ว พี่ๆ ขา หนูขอไปนอนก่อนได้มั้ยคะ ง่วงแล้ว อะไรแบบนี้ งงไปเลยค่ะ คือหนังเรื่องนี้ไม่เคยเจอปัญหาจากการกำกับเด็กหรือสัตว์เลยค่ะ มันราบรื่นมาก ๆ จนน่าประหลาดใจพอเจอเกรซเราก็เลยติด คิดว่าเด็ก 8 ขวบคงพูดรู้เรื่องเหมือนกันหมด...ต่อมาเราต้องถ่ายฉากที่มีเด็ก 8 ขวบเหมือนกันเป็นตัวประกอบ แล้วน้องเขาเล่นไม่ได้เลย คือเราลืมนึกไปเลย เราควรจะเรียกมาเช็คก่อน ดูตัวก่อน แต่เกรซทำให้เราเสียนิสัย...เพราะคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนเกรซหมด (หัวเราะ) คือหนังเรื่องนี้ไม่เคยเจอปัญหาจากการกำกับเด็กหรือสัตว์เลยค่ะ มันราบรื่นมาก ๆ จนน่าประหลาดใจ ทั้งเด็ก ทั้ง หมูปิ้ง และ ด่าง ไม่เคยสร้างปัญหาในการถ่ายทำให้แก่ทีมงานเลย และก็ไม่เคยกินฟิล์มด้วยค่ะ ถ่ายง่ายมาก”
ในขณะที่บางคนเรียกว่าเป็นโชค แต่ถ้าสำหรับการทำงานที่มีองค์ประกอบเกี่ยวข้องเยอะมาก ๆ และต้องอาศัยทีมเวิร์คอย่างภาพยนตร์ รวมทั้งการคัดเลือกนักแสดงที่จะมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราว และสีสันให้เกิดขึ้นบนแผ่นฟิล์ม เป็นไปตามความตั้งใจของตัวศิวาภรณ์ พงษ์สุวรรณผู้กำกับ “ข้าวเหนียวหมูปิ้ง” ซึ่งจะต้องควบคุมและกำหนดทิศทางของภาพยนตร์
นักแสดงคนก็เช่นกัน เรื่องนี้เราถือว่าเราโชคดีมาก ที่ได้นักแสดงทุกคนที่เราอยากได้ ตั้งแต่น้องหมา ซึ่งไม่มีใครมาคัดค้านว่า ทำไมต้องเอาหมาที่บ้านตัวเองมาเล่น เพราะเราให้เหตุผลไปหมดแล้ว และหน้าตาของนักแสดงหมาก็ผ่านหมด ส่วนนักแสดงในส่วนของคนนั้น เราดีใจมากที่ได้น้องเกรซ เพราะเรามีเขาเป็นโจทย์มานานแล้ว ส่วนนักแสดงอื่นๆอย่างเช่น
แจ๊ค เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์
สำหรับบทของเขาดิน ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นใหญ่ของข้าวเหนียว ตอนแรกก็ยังไม่ได้คิดว่าเป็นแจ๊ค เหมือนกับ
ตอนที่เขียนบทให้กาละแมร์เล่น พอเริ่มแคสติ้งถึงได้นึกถึงแจ๊คขึ้นมา เพราะว่าเวลาที่แคสติ้งเราก็ต้องคิดถึงดาราแม่เหล็กบวกกับความเหมาะสมของบท ทีนี้พอคิดว่าน่าจะเป็นแจ๊ค แฟนฉัน ก็ต้องเช็คอายุและหน้าตาก่อน ตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่าแจ๊คโตเกินไปหรือเปล่า เพราะว่าเขาดินต้องอายุประมาณ 14 ปี ยังไม่เป็นวัยรุ่นดีนัก ก็โทรไปถามคุณบอล หนึ่งในผู้กำกับแฟนฉัน ซึ่งเป็นคนข้างบ้านของแจ๊คที่สระบุรี ว่าตอนนี้แจ๊คเป็นอย่างไรบ้าง โตหรือยัง คุณบอลบอกว่า “มันก็โตแล้วพี่ แต่ยังดูเป็นเด็กอยู่” พอเรียกมาดู ก็โอเค ยังใช้ได้ และอีกอย่างหนึ่งบทนี้ก็ต้องใช้ความเป็นมืออาชีพของการแสดงที่ต้องลื่นไหลพอสมควร แล้วแจ๊คก็ทำได้ดีมาก บทที่เราเขียนพอแจ๊คเล่นปั๊บมันจะเติมอารมณ์ เติมจังหวะและมุขทางสีหน้าเข้าไปเอง ซึ่งได้อรรถรสมาก ซึ่งแจ๊คก็มอบการแสดงที่สุดยอดไว้ทุกครั้ง ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ แล้วเวลาที่แจ๊คเล่นกับเกรซ เกรซก็จะสนุกไปด้วย แล้วก็เดี๋ยวนี้แจ๊คอาจจะโตแล้วเพราะเวลาที่เล่นเข้ากลุ่มกับเด็ก แจ๊คจะบ่นว่า โอ๊ย ปวดหัว ทนเด็กไม่ได้ ฟังเสียงเด็กจ๊อกแจ๊ก จอแจ แล้วจะบ้าตาย นั่นแสดงว่าเริ่มจะเป็นหนุ่มแล้ว หรือไม่ก็พยายามจะเป็นหนุ่มนั่นเอง
นุ่นสินิทธา บุณยศักดิ์
นุ่นเป็นนักแสดงที่เจ๋งมาก อยากร่วมงานด้วยมานานแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่ดู “เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล” ซึ่งการแสดงของนุ่นละเอียดและน่าประทับใจมาก สำหรับ “ข้าวเหนียวหมูปิ้ง” แม้บทนุ่นจะน้อยนิด แต่ว่าสปิริตของนุ่นมหาศาล พออธิบายว่าบทแม่ของข้าวเหนียวต้องการนักแสดงสาวระดับแถวหน้ามารับบท ไม่ใช่แค่ตัวประกอบ เพราะแม้บทจะน้อยแต่ต้องการพลังและน้ำหนักของบทนี้ให้มากที่สุด เพื่อผลของเรื่องราวในหนัง นุ่นก็เข้าใจดีและตกลงใจรับแสดง ด้วยการคุยเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง
กาละแมร์
บทน้าเล็กเราได้กาละแมร์มาเล่นตอนเริ่มทำบทเขียนตัวละครนี้ขึ้นมา ตอนเขียนก็นึกเลยว่าจะเอาใครมาเล่นดี อาจจะมีไอเดียเพิ่มเติม หน้าของกาละแมร์ก็ลอยเข้ามาในหัว เคยดูกาละแมร์บ้างในทีวี ตอนเขียนนี่ยังไม่รู้ด้วยว่าเขาดังมากแล้ว แค่เคยเห็นผ่านๆตา เพราะเราก็ไม่ค่อยได้ดูทีวีค่ะ เราจำได้ว่าคาแร็กเตอร์เขาตลก น่ารักดี แล้วก็หน้าไม่ช้ำด้วย ถ้าจะเอามาเล่นบทน้าสาวเจ้าเสน่ห์ ขำๆ ตลกๆ ก็เลยมีเขาไว้ในใจ ตอนเช้าก็จะดูกาละแมร์ ส่วนกลางคืนก็นั่งเขียนบท อะไรแบบนี้เลยค่ะ ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นคนอื่นเล่นเลยนะ คิดเป็นกาละแมร์อย่างเดียว ตอนไปคุยกับกาละแมร์ก็บอกแบบนี้เลย ฉันเขียนบทนี้ให้เธอเล่นเท่านั้น และก็บอกเลยว่าถ้าไม่เล่น ต้องคิดให้ด้วยนะ ว่าจะให้ใครเล่นแทน ส่วนบทสนทนาก็บอกเขาไปว่า อยากจะปรับคำพูดยังไงก็ได้ แต่ขอให้อยู่ในไลน์ของเรื่อง ซึ่งก็พอเดาได้ว่า สไตล์กาละแมร์เวลาพูดจะเป็นอย่างไร แม้ว่าตอนคุยกันจะบอกเขาว่า อยากได้น้าเล็กแบบที่เป็นกาละแมร์น่ะ
คุณยายมารศรี
ตอนแรกไม่ได้นึกถึงคุณยายมารศรีเลย เพราะบทของยายก็ไม่เยอะมาก อาจจะเป็นใครก็ได้ แต่พอทีมงานเสนอชื่อขึ้นมาก็รู้สึกสนใจ เราก็ให้ทีมงานไปเช็คแกว่า แกสุขภาพเป็นอย่างไร ยังทำงานไหวมั้ย เพราะว่าแกก็ห่างหายจากวงการมาสักพัก ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพหรือเปล่า ซึ่งพอเอารายชื่อของครอบครัวนี้มาประกอบกันเข้า ก็รู้สึกว่าตัวละครมีความหนาแน่นมาก รู้สึกปึ้กๆ อย่างไรไม่รู้ค่ะ ก็เป็นภาพรวมของนักแสดงที่ดูดีมากๆ แล้วคุณยายมารศรีก็เป็นมืออาชีพอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาทางด้านการแสดงแน่นอน แกก็จะสามารถเติมบทเองได้ ถ้ารู้สึกว่าบทไม่เข้าปาก หรือว่ามันมีช่องว่างมากเกินไป ก็เลยหายห่วงค่ะ สบายมาก ผู้กำกับแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
พี่แหม่ม เนาวรัตน์ ซื่อสัตย์
แกน่ารักมาก มาแจมหนังเรื่องนี้แบบตั้งใจมากเลย ตอนแรกบทของป้าไม่ได้มองดาราคนไหนไว้เลย เพราะบทไม่มากนัก บังเอิญเราได้ดูพี่แหม่มไปออกรายการถึงลูกถึงคนพอดี รู้สึกว่าโอ้โห พี่เขาหายไปนาน แต่ยังมีบารมีของดาราใหญ่อยู่เลย แล้วก็สวยมากด้วย ส่วนพี่แหม่มก็ดีใจหาย แล้วพอเราเชิญพี่แหม่มมาแคสต์ก็แกยอมมา ก็บอกแกไปว่า พี่คะ บทอาจจะไม่เยอะนัก ไม่รู้จะเหมาะกับพี่หรือเปล่า ดังนั้นเราอาจจะต้องคุยกันก่อน ศึกษา
กันก่อนนิดหนึ่ง ซึ่งแกก็น่ารักมาก บอกว่าไม่เป็นไร ถ้าไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร เข้าใจดีเรื่องการแคสติ้ง ปรากฏว่าพอได้คุยกันก็โอเคเลยค่ะ แล้วก็ส่งบทให้แกอ่าน ตอนหลังได้คุยกันอีกที แกก็บอกว่า อ่านแล้วชอบมาก น้ำตาไหลเลย เรื่องราวบางส่วนในหนังเหมือนกับสิ่งที่แกเคยเจอมา คือแบบว่าลูกสาวแอบเอามามาเลี้ยงที่บ้าน อะไรทำนองนั้น พอได้ร่วมงานกันก็รู้สึกแฮปปี้มาก เพราะว่าพี่เขาสปิริตยอดเยี่ยม ถึงจะเป็นรุ่นใหญ่แต่ก็เป็นรุ่นใหญ่แบบอบอุ่นค่ะ มีน้ำใจ น่ารักดีกับน้องๆ ทีมงานรุ่นลูกรุ่นหลาน แล้วก็รู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นเรื่องแรกของแกในรอบ 30 ปีค่ะที่กลับมาเล่นหนังอีกครั้ง แล้วก็ยังหวังว่าจะได้ร่วมงานกับพี่แหม่มอีกค่ะ ถ้ามีโอกาส เราสัญญากันไว้ มีพี่แหม่มมาเติมก็ทำให้ตัวละครของครอบครัวนี้มีสีสันมากขึ้น
ส่วนพี่ดา ดารุณี กฤตบุญญาลัย
(ยังมีต่อ)