กรุงเทพฯ--8 เม.ย.--pradonline
หากยังจำกันได้ เทรนด์ความงามเมื่อสักสิบปีก่อน มักจะเน้นเรื่องการใช้ยาทารักษาและทำทรีทเม้นท์ ต่อมานวัตกรรมการรักษาด้วยเลเซอร์เข้ามาเกือบจะแทนที่การทำทรีทเม้นท์ เพราะให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและอยู่ได้นานกว่า เทรนด์ของเลเซอร์หน้าใสจึงเข้ามาแทนที่เทรนด์เดิมไปโดยปริยาย จึงทำให้วิธีการได้มาซึ่งผิวที่สวยเนียนเป็นเรื่องไม่ยากอีกต่อไป เทรนด์การปรับแก้โครงหน้าและชะลอริ้วรอยด้วยโบท็อกซ์และฟิลเลอร์จึงเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากความสวยอาจไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ผิว แต่ความสวยคือการทำให้ใบหน้าสวยงามครบทุกมิติ ทั้งมิติของผิวที่เนียนใสและมิติของโครงหน้าที่ได้องศาที่เหมาะสมจึงจะเรียกว่าสวยได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนตอนนี้หันไปทางไหน ก็เจอแต่คนหน้าสวย ผิวใส กันทั้งนั้น เมื่อสวยใสได้ดั่งใจก็คงอยากจะรักษามันไว้แบบนั้นตลอด ล็อคความสวยไว้ไม่ให้หมุนไปพร้อมกับนาฬิกาชราภาพ เทรนด์ความงามของปีนี้และต่อไป จึงย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความงาม ชะลอย้อนวัย ด้วยการบำบัดตั้งแต่จุดเล็กที่สุดของเซลล์ผิวหนังเลยทีเดียว
นวัตกรรมความสวยแบบธรรมชาติบำบัด ที่กำลังมาแรงในหมู่ของเซเลบไฮโซ ณ ตอนนี้เรียกว่า ไบโอพังเจอร์ (Biopuncture) นั่นก็คือการใช้เข็มขนาดเล็กมากนำพาสารสำคัญที่สกัดมาจากธรรมชาติ โดยนำเอาสารสำคัญเหล่านั้นลงไปยังเนื้อเยื่อตามบริเวณของจุดฝังเข็มต่างๆที่สำคัญบนใบหน้า ผลลัพธ์ที่ได้จึงเปรียบเหมือนการฝังเข็มปรับสมดุลของใบหน้าตามศาสตร์ของจีนโบราณผนวกกับการเติมสารสำคัญให้เนื้อเยื่อของผิวหนังไปพร้อมกันในทีเดียว จุดฝังเข็มบนใบหน้านั้น ตามตำราจีนกล่าวว่าเป็นจุดพักของแอ่งเลือด แต่เมื่อมาผนวกกับความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบัน พบว่าแอ่งเลือดนั้นแท้จริงคือตำแหน่งของเส้นเลือดแดงก่อนที่จะแตกแขนงไปเลี้ยงผิวหนังทั่วใบหน้านั่นเอง ดังนั้นการนำพาสารสำคัญลงในจุดฝังเข็ม 16 จุด ทั่วทั้งใบหน้าจึงเปรียบเสมือนการฝากสารสำคัญต่างๆให้กระจายไปพร้อมกับการส่งเลือดไปเลี้ยงผิวหนังทั่วใบหน้านั่นเอง ส่วนสารสำคัญที่สกัดมาจากธรรมชาตินั้น เมื่อผ่านลงไปยังเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังแล้ว สารเหล่านั้นจะกระจายแทรกซึมไปยังส่วนสำคัญที่เรียกว่าแมทริก หากเปรียบง่ายๆ ใต้ผิวหนังเราเหมือนชานมไข่มุกแก้วหนึ่ง ส่วนของเซลล์ต่างๆ จะเปรียบดั่งเม็ดไข่มุกที่ลอยอยู่ในชานมซึ่งเปรียบดั่งแมทริก หรือพูดอีกนัยหนึ่ง แมทริกนั้นก็คือของเหลวระหว่างเซลล์ต่างๆนั่นเอง ในส่วนของแมทริกนั้น จะประกอบไปด้วยฮอโมนส์และสารต่างๆที่มีไว้ให้เซลล์แต่ละชนิดใช้สื่อสารกัน เพื่อทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังเป็นส่วนที่ร่างกายไว้สะสมของเสียต่างๆ ดังนั้นแมทริกจึงมีบทบาทสำคัญในการทำงานของเซลล์ต่างๆของผิวหนังไม่ต่างจากตัวเซลล์เอง หากร่างกายมีสารพิษสะสมในแมทริกมาก ก็จะแสดงออกมาทางผิวหนังมากด้วยเช่นกัน ดังเช่นคนไข้โรคไต ร่างกายจะขับของเสียต่างๆไม่ได้ ของเสียเหล่านั้นจึงมาสะสมที่แมทริกตามผิวหนัง ส่งผลให้คนไข้เหล่านี้ ผิวหนังจะแลดูหมองคล้ำแลดูไม่เปล่งปลั่งเหมือนผิวคนทั่วไป
หลักการของไบโอพังเจอร์นั้นคือการเติมสารสำคัญที่สกัดมาจากธรรมชาติหลายๆตัว โดยผสมเป็นค็อกเทลสูตรเฉพาะ สารเหล่านั้นจะไปกำจัดของเสียที่อยู่ในแมทริก ถ้าเปรียบผิวเราดั่งแก้วน้ำใบหนึ่ง หากมีของเสียอยู่แล้วครึ่งค่อนแก้ว เวลาเติมของดีเข้าไป จึงเติมได้ไม่เต็มที่ นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมเด็กสาววัยรุ่น เวลาทาครีมทำทรีทเม้นท์แล้วหน้าจึงเด้งไวกว่าผิวของผู้ใหญ่ เพราะในแมทริกของผู้ใหญ่นั้น ผ่านมลพิษมามากกว่า จึงมีของเสียสะสมในแมทริกมากกว่า หากกำจัดของเสียเหล่านี้ออกไปได้ แก้วน้ำแก้วเดิมก็จะกลายเป็นแก้วที่ว่างเปล่า เวลาเติมของดีเข้าไปก็จะเติมได้เต็มที่ ผิวหนังเราก็จะตอบสนองได้ดี เสมือนผิวเด็กนั่นเอง สารธรรมชาติในค็อกเทลที่ว่านั้นไม่เพียงแต่จะดีท้อกซ์ของเสียทิ้งออกไป แต่ยังมีสารสำคัญที่ช่วยเพิ่มฮอโมนส์และสารสื่อประสาทต่างๆในแมทริก จึงทำให้เซลล์ผิวสามารถสื่อสารกันได้ดียิ่งขึ้น ผิวที่แพ้ง่าย ไม่แข็งแรง ซึ่งมีสาเหตุจากการที่เซลล์ผิวหนังสือสารและทำงานกันผิดพลาด เมื่อเซลล์ผิวพูดคุยกันรู้เรื่อง จึงทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผิวหนังจึงแข็งแรงขึ้น อาการของผิวแพ้ง่ายหรือสิวฝ้าที่เป็นมาเรื้อรังจึงดีขึ้นด้วย สารสำคัญบางตัวจะไปกระตุ้นให้เซลล์แต่ละชนิดตื่นตัวมากขึ้น เพิ่มการเผาพลาญของเซลล์ เหมือนปลุกเซลล์ผิวให้ตื่นขึ้นมาทำงาน ผิวหนังจึงกลับมาสดใสแลดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา ซึ่งในค็อกเทลนั้นก็ไม่ลืมที่จะใส่อาหารต่างๆให้แก่เซลล์ผิว เสมือนกองทัพที่ต้องเดินด้วยท้อง เซลล์ผิวก็เช่นกัน หากปล่อยให้เซลล์ผิวอิดโรย ผิวหนังก็จะแลดูโรยราเหี่ยวย่น เซลล์ที่อิ่มไปด้วยสารอาหารจึงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ เซลล์ที่มีหน้าที่สร้างก็จะสร้างเนื้อเยื่อมากขึ้น เซลล์ที่มีหน้าที่ซ่อม ก็จะซ่อมแซมได้อย่างเต็มที่ ส่วนเซลล์ที่เสื่อมสภาพ เมื่อได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ก็จะซ่อมแซมตัวเองให้กลับมาทำงานได้เหมือนเมื่อครั้งยังเยาว์วัย ด้วยหลักการและเทคนิคของนวัตกรรมไบโอพังเจอร์นั้น จะเห็นได้ว่า เป้าหมายของการรักษา ไม่ได้จำเพาะเจาะจงเพื่อให้ผิวหน้าขาวเนียนใส แต่มุ่งประเด็นลงลึกไปยังการดูแลส่วนที่เล็กที่สุดของผิว นั่นคือการทำให้เซลล์ต่างๆของผิวหนังกลับมาแข็งแรงและทำงานได้เป็นปกติ อีกทั้งยังขับของเสียที่สะสมในแมทริกให้หมดไป ผิวหน้าจึงไม่เพียงแค่ดีขึ้น แต่จะแข็งแรงขึ้น และย้อนการทำงานของผิว ให้กลับไปเป็นผิวเด็กอีกครั้งหนึ่ง นวัตกรรมไบโอพังเจอร์ที่ว่านี้ อย่าคาดหวังว่าผลลัพธ์จะรวดเร็วทันใจสวยไวเหมือนโบท็อกหรือฟิลเลอร์ เทคนิคนี้ต้องทำอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เป็นเวลา 5-10 ครั้งจึงจะเริ่มเห็นผล หลังจากนั้นอาจทำเพียงแค่เดือนละครั้งเพื่อคงสภาพผิวไว้ เทรนด์การดูแลผิวตั้งแต่จุดกำเนิดระดับเซลล์อาจจะฟังดูยากและใหม่เกินไปสำหรับคนทั่วไป แต่หากเข้าใจลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของปัญหาแล้วนั้น ในอนาคตคำว่าหญิงชราคงยากที่จะนำมาใช้เรียก การประเมินใบหน้ามาเป็นตัวเลขของอายุคงใช้ไม่ได้อีกต่อไป เทรนด์ความงามในปีนี้จึงหนีไม่พ้นการเข้าถึงจุดกำเนิดของความสวยอย่างแท้จริง ไบโอพังเจอร์อาจเป็นเพียงแค่ตัวอย่างเริ่มต้นของการดูแลผิวระดับเซลล์ ในอนาคตหากมีการศึกษาลงลึกถึงเซลล์ต้นกำเนิดอย่างจิงจัง และมีผลงานวิจัยรองรับถึงผลในการรักษาระยะยาวในมนุษย์ อาจไม่เพียงแค่ผิวหนังเท่านั้นที่สามารถชะลอความชราได้ ยังรวมไปถึงอวัยวะต่างๆในร่างกายก็สามารถชะลอความเสื่อมคืนความสดใหม่ให้กลับมาทำงานได้เหมือนเดิม คำว่า"สเต็มเซลล์"คงเป็นอีกหนึ่งบัญญัติที่อาจจะถูกจารึกไว้ ว่าเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์ไปเลยก็เป็นได้