กรุงเทพฯ--10 เม.ย.--ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทิจีส์
จากสถิติการทดสอบความรู้เด็กไทยจากสถาบันต่างๆ ยืนยันว่าพัฒนาการเด็กไทยด้านต่างๆ มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าครึ่ง รวมทั้งระดับไอคิว-อีคิวเด็กไทยยังต่ำกว่ามาตรฐาน และยังมีแนวโน้มว่าจะต่ำลงทุกปีด้วย การศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยอยู่อันดับ 6 เมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน ไม่รู้ว่าเยาวชนไทยที่กำลังเติบโตขึ้นในอนาคตจะนำพาประเทศชาติไปในทิศทางและรูปแบบใด และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเรากำลังจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาศักยภาพของเด็กไทยอย่างเข้มข้น ภาคการศึกษาจึงเป็นฟันเฟืองสำคัญของการพัฒนาอัจริยภาพเด็กไทย ซึ่งจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะระดับชั้นอนุบาลจนถึงประถมที่ถือเป็นการบ่มเพาะต้นกล้าให้เติบโตมามีคุณภาพ
ปัจจุบันโรงเรียนอนุบาลต่างให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ไม่ใช่แค่สอนวิชาการในตำรา แต่เน้นและให้ความสำคัญกับการพัฒนาสมอง ด้วยการพัฒนาทักษะเด็กใน 4 ด้าน คือ ฉลาดเรียนรู้, ฉลาดเคลื่อนไหว, ฉลาดสื่อสาร, และฉลาดด้านอารมณ์ ไปพร้อมๆ กับการให้เด็กเรียนรู้วิชาการต่างๆ
“ประเทศไทยต้องการเด็กที่คิดเป็น ไม่ต้องการเด็กที่อ่านได้เขียนได้อย่างเดียว แต่เอาความรู้ไปใช้ไม่เป็น”
สโลพร ตรีพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลบ้านพลอยภูมิ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า “ผู้ปกครองควรหันกลับมามองที่พื้นฐานว่าความจำเป็นที่แท้จริงของเด็กคืออะไร ไม่ใช่แค่พูดภาษาอังกฤษเป็น เด็กจะสู้คนอื่นได้ ควรให้ความสำคัญกับ อีคิวและการพัฒนาด้านอารมณ์ เพราะถ้ากายและใจพร้อมสมองก็จะตามมาเอง
กอปรกับระยะหลังๆ มานี้ เรามักจะเจอเด็กที่มีสมาธิสั้นแบบเทียม ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากการเลี้ยงดูที่รีบเร่ง ดังนั้น การเรียนการสอนที่เรามองว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กในปัจจุบันก็คือ การเรียนการสอนแบบบูรณาการและเน้นธรรมชาติเป็นหลัก เพื่อให้เด็กเล็กได้พัฒนาทักษะทั้ง 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้ การเคลื่อนไหว การสื่อสาร และอารมณ์ไปพร้อมๆ กัน เช่น สอนให้เด็กเรียนรู้การเคลื่อนไหวด้วยการใช้มือมากๆ เพื่อให้สมองทั้งซีกซ้ายซีกขวาทำงานสมดุลและประสานกันมากขึ้น เช่น การปั้นดิน นอกจากจะช่วยให้เด็กใช้มือเยอะแล้ว ยังช่วยเรื่องความสัมพันธ์ของมือตาและกล้ามเนื้อมัดเล็ก รวมถึงกิจกรรมที่ให้เด็กเรียนรู้จริงๆ เช่น การให้โจทย์เป็นนักสำรวจ จะทำให้เด็กสามารถใช้สมองประมวลผล วิเคราะห์ และสรุปได้ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการฟังเสียงเคลื่อนไหว เช่น เสียงแมลงปอบินสูงต่ำ ซึ่งวิธีนี้ มีผลสัมพันธ์กับการสื่อสารตรงจุดที่ว่า เด็กจะพูดได้ต้องอาศัยการสื่อสารการฟังที่ดี”
ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาอัจฉริยภาพให้รอบด้าน นอกเหนือจากตำราในห้องเรียน ผอ.สโลพรกล่าวว่า “ก็เพราะว่า ประเทศไทยต้องการเด็กที่คิดเป็น ไม่ต้องการเด็กที่อ่านได้เขียนได้อย่างเดียว แต่เอาความรู้ไปใช้ไม่เป็น การเน้นพัฒนาเด็กทั้ง 4 ด้านที่กล่าวไปจะสามารถช่วยพัฒนาเด็กที่เป็นอนาคตของชาติให้เป็นเด็กที่มีคุณภาพ เข้าใจคิด และสามารถวิเคราะห์ ประมวลผลได้”
“อนาคตเด็กไทยจะต้องก้าวออกไปเป็นคนฉลาดใช้ชีวิตในสังคมอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้”
เช่นเดียวกับ ภานุชนารถ ทองเจือ ผู้จัดการโรงเรียนอนุบาลปรางค์ทิพย์ที่เห็นว่า ภาคการศึกษาควรให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนแบบบูรณาการ เน้นพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน “ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเรียนการสอนด้านวิชาการในห้องเรียนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เด็กต้องการ การพัฒนาเด็กต้องพัฒนาอย่างรอบด้าน ทั้งสอนวิชาการ ไม่ว่าจะเป็น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน คณิตศาสตร์ ไปพร้อมๆ กับการทำกิจกรรมอย่างบูรณาการ โดยเน้นให้เด็กมีส่วนร่วมกับกิจกรรม เราให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่สามารถฝึกให้เด็กสามารถพัฒนาทักษะทั้ง 4 ด้านไปพร้อมๆ กัน ทั้งการเรียนรู้, การเคลื่อนไหว, การสื่อสาร, และอารมณ์เพราะความเป็นจริงแล้วการพัฒนาเพียงด้านใดด้านหนึ่งไม่สามารถทำให้เด็กมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ พัฒนาการทั้ง 4 ด้านนี้ต้องมาพร้อมกัน ตัวอย่างเช่น การจัดกิจกรรมจำลองเลือกตั้งให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วม เด็กจะสามารถคิดเป็นและฝึกระบบสมอง พร้อมกับเป็นการพัฒนาทักษะทั้ง 4 ด้านไปพร้อมๆ กัน กล่าวคือ การเรียนรู้ – เด็กสามารถเรียนรู้วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่จะเกิดขึ้นต่างๆ ระหว่างทำกิจกรรม การเคลื่อนไหว – การหาเสียง และการแสดงออกในหมู่เพื่อนๆ การสื่อสาร – พูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้น พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ในการคิดนโยบายต่างๆ ด้านอารมณ์ – เด็กๆ จะได้เรียนรู้ถึงความผิดหวัง ความดีใจ และได้รู้ว่าถ้าเราทำไม่ได้เราไม่สามารถไปโกรธใครได้ เด็กต้องยอมรับกับความผิดหวังได้ นอกจากนั้นฟันเฟืองสำคัญอย่างยิ่ง คือ “คุณครู” ผู้ซึ่งมีหน้าที่ออกแบบกิจกรรมและบ่มเพาะวิชาความรู้ให้เด็กที่ต้องทุ่มเทกายใจและมีจรรยาบรรณควรจะต้องเข้าใจว่าทุกวันนี้เด็กไทยต้องการอะไรและควรสอนพวกเขาให้เติบโตไปอย่างไร ซึ่งอนาคตเด็กไทยจะต้องก้าวออกไปเป็นคนฉลาดใช้ชีวิตในสังคมอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด”
แท้จริงแล้วเด็กไทยมีความรู้ความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก เพียงแต่เราต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอัจฉริยะภาพเด็กไทย เพื่อก้าวไปสู่ความเป็น 360 องศา อัจฉริยะรอบด้าน โดยพัฒนาทั้ง 4 ด้าน ฉลาดเรียนรู้, ฉลาดเคลื่อนไหว, ฉลาดสื่อสาร, และฉลาดด้านอารมณ์ไปพร้อมกัน เพื่อเตรียมเด็กไทยในวันนี้ให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในวันข้างหน้าอย่างสมบูรณ์
สำหรับคุณแม่ที่ต้องการคำแนะนำในการเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ของลูกน้อย สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.enfababy.com หรือติดต่อฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-725-8700