กรุงเทพ--26 พ.ค.--ธปท.
ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ให้ภาพในลักษณะที่ว่า บริษัท เงินทุนเอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) มีปัญหาทางการเงิน และฐานะการดำเนินงาน เสียหายมาก และทางการมิได้ดำเนินการลดทุนอันเป็นการกระทำที่เอื้อประโยชน์ แก่ผู้ถือหุ้นเดิมมากเกินไปนั้น
ธนาคารแห่งประเทศไทยขอชี้แจงว่า
1. ฐานะการเงินของบริษัทเงินทุนเอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) มิได้ เสื่อมลงถึงขนาดมีส่วนของผู้ถือหุ้นสุทธิ (Net Worth) ติดลบ เพราะแม้ธนาคารจะ ได้สั่งการให้บริษัทกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยรวมทั้งผลขาดทุนจากเงิน ลงทุนในหลักทรัพย์ และผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอย่างเต็มที่ ซึ่งมีผลเท่ากับ เป็นการลดเงินกองทุนของบริษัทแล้ว แต่บริษัทมีส่วนล้ำมูลค่าหุ้น ทุนสำรอง และ สำรองสำหรับสินทรัพย์จัดชั้นสงสัย อยู่เป็นจำนวนสูงถึง 12,888.7 ล้านบาท เพียงพอสำหรับลบล้างความเสียหาย บริษัทจึงยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้ ได้ เพราะยังคงมีสินทรัพย์สุทธิสูงกว่าหนี้สินที่มีอยู่ จึงยังไม่มีสาเหตุเพียงพอที่ธนาคาร จะสั่งให้บริษัทลดทุนชำระแล้วที่มีอยู่จำนวน 4,141 ล้านบาท
2. อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีส่วนของผู้ถือหุ้นสุทธิ (Net Worth) เป็นบวกอยู่ก็ตาม แต่เพื่อให้บริษัทมีฐานะการเงินมั่นคงยิ่งขึ้น ธนาคารจึงได้ออกคำสั่ง ให้บริษัทเพิ่มทุนชำระแล้วอีก 8,282 ล้านบาท รวมเป็น 12,423 ล้านบาท โดยสั่ง ให้จำหน่ายหุ้นในราคาที่มีส่วนลดร้อยละ 25 เพื่อเป็นแรงจูงใจและปกป้องประโยชน์ ของผู้ถือหุ้นที่จะนำเงินมาลงทุนใหม่
3. ในส่วนที่เกี่ยวกับการที่บริษัทเงินทุนเอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารไทยทนุ จำกัด (มหาชน) ไม่สามารถดำเนินการควบกิจการกันได้สำเร็จ มิ ได้หมายความว่า การควบหรือรวมกิจการในกรณีอื่น ๆ มีอันต้องชะงักไปด้วย เท่าที่ ธนาคารได้รับรายงานเป็นระยะ ๆ ความสนใจในการควบหรือรวมกิจการยังคงเกิด ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะนี้ ธนาคารกำลังปรับปรุงเงื่อนไขและแรงจูงใจในการควบ หรือรวมกิจการให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว
4. ธนาคารขอให้ผู้ฝากเงิน เจ้าหนี้ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเงิน ทุนเอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) มีความมั่นใจได้ว่า บริษัทจะดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และทางการพร้อมที่จะเข้าร่วมทุนในบริษัทนี้ทันทีเมื่อได้รับการร้องขอ--จบ--